มหกรรมออดิทมาราธอนสุดยิ่งใหญ่

เราจะเล่าเรื่องงานเป็นซีรี่ส์นะ พอดีไปแปลออดิทไลน์หนึ่งมาแล้วมันเป็นมหากาพย์มาก อาจจะเล่าได้ไม่ปะติดปะต่อสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะพอเข้าใจ และยาวมาก

หลังๆมานี้เราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องงานสักเท่าไหร่ มันก็เดิมๆ แค่ปรับเป็นโหมด Hard พอเปลี่ยน expat คนญี่ปุ่น ล่ามเองก็ต้องปรับตัว ถ้า advisor ที่เราแปลให้โดยตรงจะมาแนวกดดัน แต่จริงๆลุงใจดีและทรงแด๊ดดี้มากนะ สายเปย์ด้วย ใส่เงินเป็นรางวัลพิเศษตอนจับของขวัญปีใหม่ให้เยอะมาก พนักงานไปขอให้ร่วมทำบุญจะไปทำอาหารเลี้ยงเด็กบนดอย ลุงก็โดเนทเยอะมากๆ

ก็เป็น Traditional Japanese Expat อ่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี รู้แค่ว่าถ้าเป็นส่วนผสมนี้ คือ

Expat คนญี่ปุ่นที่จริงจัง ถามว่าทำไมกับทุกเรื่อง+คนไทยไปเรื่อยไม่เคยมีเหตุผลอะไรในการกระทำ=ล่ามลำบากมาก

ถ้าแปลแบบ 直訳 รับรองได้บันเทิงจนบรรลัยอ่ะ

เราใช้วิธีฟังข้อความยาวๆ แล้วค่อยอธิบาย เพราะมักตะเจอสถานการณ์ที่พี่คนไทยพูดครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 ไม่เหมือนกัน เราจะฟัง จด flow หรือวาดภาพตาม ถ้ามีตรงไหนที่เราสงสัยเราก็จะถามพี่คนไทยเลย พอได้เนื้อหาประมาณหนึ่งแล้วค่อยแปล

โชคดีที่ first impression ของเรากับลุง advisor ไม่ได้แย่ (อันนี้สำคัญมาก) พอเค้าไว้ใจและเข้าใจว่าเรากำลังพยายามช่วย เค้าก็จะอดทนรอได้ แรกๆลุงก็รอไม่ได้หรอก ใจร้อน เราเข้าใจความใจร้อนของคนอายุ 50 ปลายๆ ถึง 60 กลางๆนะ คือพออายุมากขึ้น เขาจะลืมง่ายอ่ะ ถ้าไม่รีบพูด เขาจะนึกไม่ออกว่านะพูดอะไร ช่วงหลังๆก็เลยไปฝึกทักษะการจดหรือฟังจับใจความให้คมขึ้น ก็เป็นประโยชน์ในการทำงานอยู่นะ

ส่วน VP สมมุติว่าชื่อพี่เท็ดดี้ เป็นคนทำงานละเอียดยิบๆ เนี้ยบมาก ไม่ปล่อยผ่าน (ซึ่งเราชอบมาก เราชอบคนเนี้ยบ) ต่อให้เป็นมาตรฐานของคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เราก็คิดว่าเขามาตรฐานสูงอยู่ดี การแปลเพื่อไล่ตามตรรกะและความสมเหตุสมผลระดับสูงขนาดนี้ต้องใช้ทั้งความรู้ สติ สมาธิมากๆ เราถึงมองว่ามันเป็นการเปิดโหมด Hard ตลอดเวลา เหมือนก่อนหน้านี้เราเล่นโหมด Easy มาตลอด มี Intermediate บ้างนิดหน่อย ไม่ใช่ว่า expat รุ่นก่อนๆไม่เก่งนะ แต่หมายถึงว่ามันเป็นรูปแบบที่เราอ่านออกตั้งแต่แรก เวลาแปลมันเลยง่าย แต่ตอนนี้มันเพิ่มความยาก เราไม่กล้าเดาเลย

ส่วนพี่ๆคนไทย ลักษณะพิเศษที่คล้ายๆกันคือ ถ้าผมพูดไม่รู้เรื่อง ล่ามก็ช่วยหน่อยนะ (ซึ่งจริงๆไม่ดีนะ) หรือถ้าเค้าด่าผม ล่ามก็แปลซอฟท์ๆให้หน่อยนะ (นี่ก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน) แต่เราก็พยายามตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของทุกคนอยู่

เมื่อก่อนจะมีคนชอบบอกว่าเรา 人間らしい แต่เรารู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ตรงนั้นของเรามันหายไปเรื่อยๆ การปั้นหน้ายิ้ม พยายามไม่รู้สึก พยายามไม่คิดอะไรมาก หรือรู้สึกอะไรก็เก็บมันเอาไว้ให้มิดกลายเป็นค่า default ปกติของเรา

ซึ่งบอกเลยว่า ถ้าเราอดทนไม่แสดงอาการหงุดหงิดออกไปได้ คนญี่ปุ่นจะได้เป็นคนที่หงุดหงิดแทน (ก็คือเราไม่ได้บล็อกให้ก่อนชั้นหนึ่งนั่นเอง) ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์นี้ยังไงอ่ะ มันเป็นภาวะที่เรียกว่า รู้อยู่แล้วว่าพูดแบบนี้ออกไปพี่จะโดนด่านะคะ แต่พี่ก็ยังพูดมันออกมา แล้วล่ามก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องแปล แล้วก็จะมีเสียงเหมือนคนตะโกนดังขึ้นมาใน 3..2..1 นั่นไงล่ะ เป็นไปตามที่คิดไว้ทั้งหมดเลย

เราเห็นการก่อเป็นรูปร่างของสถานการณ์แบบนี้เป็นภาพสโลว์โมชั่นด้วยซ้ำ เท่ป่ะล่ะ 5555 ไม่ต้องใช้พลังจิตหรือญาณทิพย์หรือพลังคอสโมใดๆ แค่เจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆให้บ่อยพอก็อ่านออกแล้ว

VP ถ้าเป็นเรื่องงาน เราว่าเค้าเลือดเย็น โหดเหี้ยม ค่อยๆเชือดอ่ะ แบบเวลาเจอคนแถ เค้าจะนิ่ง ฟังอย่างสงบ เก็บข้อมูล ถามคำถาม ที่ถ้าคนโกหก มันจะโกหกวนไปวนมาจนมัดคอตัวเอง เราว่า VP เป็นมาสเตอร์ด้านนี้ เครื่องจับเท็จเดินได้ชัดๆ แล้วตรวจละเอียดยิบระดับตัวอักษร ราวกับว่าไม่มีอะไรจะหลุดรอดสายตาเขาไปได้ (เราอวยเว่อร์ไปมั้ย เบียวไปมั้ย ขอโทษนะที่ bias เราชอบพี่เท็ดดี้น่ะ)

ซึ่งถ้าปล่อยให้คนแถไปเรื่อยๆ เราก็จะต้องแปลเยอะมาก ใช้เวลานานมาก บางทีมันก็เหนื่อย

บางทีมันก็เลยออกมาแบบนี้

ซึ่งบอกตรงๆเลย เราไม่ได้ประชด เราแค่อยากประหยัดเวลา ไม่อยากเล่นเกมแมวจับหนู ไม่ได้ทำมา ไม่ได้เตรียมมาก็สารภาพมาซะดีๆ จะได้ไม่ต้องทรมานกันนาน เราไม่ได้ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนด้วย แค่บางทีฟังแล้วมันจับไต๋ได้จริงๆ พี่เค้าเลิ่กลั่กจริง

ไปยืนแปลในไลน์มาสองชั่วโมงครึ่ง แล้วลมแรงมากกกก บาซูก้าเป่าลมเย็นๆลงหัว เข้าตาพอดี นั่นแหละ ยืนไป สองชั่วโมงครึ่ง จะเป็นลมมมมม

พยายามจะแปลอย่างใจดี ซอฟให้ รักทุกคน แต่บางสถานการณ์ก็เขาด่าอ่ะ ให้หลบยังไงเนี่ยยย

แล้วไอ้ลูกแถปากเปล่า พูดไปเรื่อยๆเนี่ย ถ้าสมาธิเรายังเต็มๆอยู่ก็แปลได้ไง แต่คิดถึงคนที่พูดตลอดสองชั่วโมงครึ่งดู ว่ามันเหนื่อยมากกกก มีลมลงหัว เป่าตาตลอดเวลาด้วย

ช็อตสุดท้ายคือตอนที่ 2 ชั่วโมง 33 นาที เลิกงานพอดี นี่ก็บอกว่า “(ชื่อเรา)ฟังที่พี่พูดไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ” (สมองกุแบลงค์ไปหมดแล้ว พออออ!)

แต่พี่คนไทยก็คงเข้าใจว่าเราด่าว่าเค้าพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งนั่นก็จริง แต่เราเลิกด่าแล้ว ด่าไปก็ไม่ทำให้ใครพูดรู้เรื่องขึ้นมา เราหมายถึงเราแปลต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

ดีหน่อยลุงๆเข้าใจว่ามันเหนื่อยมากกกกก ลุงก็ขำๆ โอะสึคาเระไป จริงๆออแกไนเซอร์จองมา 2 ชั่วโมงชั้นยอมแถมให้อีกครึ่งชั่วโมงเพราะชั้นชอบพี่เท็ดดี้

แต่มัน もう限界だ อีกวินาทีเดียวก็แปลไม่ไหวแล้ว ปล่อยกุออกไปจากตรงนี้สักทีโว้ย หนาวโว้ยยยยย

พี่คนไทยมาบอกว่า “น้อง(ชื่อเรา)เก่งมาก อึดมากเลย”

ใช่ค่าาา อึดถึกทนเป็นควายเลยค่า แผนกพ้มงานนรก งานผี งานโรคจิตสุดๆไปเล้ย และนี่เป็นล่ามที่ใจดีให้สุดๆแล้ว เรียก Pokayoke ว่าน้องด้วย

มีช็อตนึงแปลไปว่า Pokayoke หน้าที่คือ error-proofing นะคะ ตัวกันผิดพลาดน่ะค่ะ (จริงๆในหัวจำคำว่าตัวกันโง่มา) คือคนต้องทำผิดก่อน แล้วจะไปต่อ น้องถึงจะกรีดร้องบอกเราว่า ไม่ได้ๆ แกผิด แกไปไม่ได้
แต่สถานการณ์ตอนนั้นคือ set up เปลี่ยนรุ่น คนยังไม่ได้ทำอะไรผิด น้องจะกรี๊ดเลยไม่ได้ ตรงนี้ก็แค่ PE ปรับ trigger ของ Pokayoke ให้ร้องตอนปัดสวิทช์จะไปต่อ ไม่ใช่ให้น้องกรี๊ดตอน pallet มาอยู่ตรง station

รู้สึกว่าเรียก Pokayoke ว่าน้องแล้วมันน่ารักดี

มีอีกรอบ จริงๆเรื่องนี้เรื่องเดียวแปลมาหลายแมทช์แล้ว ไม่จบสักที พี่เท็ดดี้บอกว่า “พรุ่งนี้ก็ไม่น่าจบ”

เราหันไปบอกเพื่อน “งั้นเตรียมล่ามมาสักสิบคนนะ”

เห้อออ หัวจะปวด

ดูวิบากกรรมที่ต้องเจอแต่ละอย่าง ไม่ตายก็บุญแล้ว ฮ่วยยยย คาดหวังอะไรจากชั้นนนนน

อย่าล้อเล่นกับระบบ(ทางเดินอาหาร)

พอมาอีกรอบเพื่อนก็คือนัดไว้ 2 ชั่วโมงแต่รู้ว่าลากยาวตลอดบ่ายแน่ๆ เพื่อนก็บอกเราว่า 2 ชั่วโมงแล้วจะให้เราเบรครอบนึง ซึ่งเพื่อนก็ทำตามที่พูด

แต่ว่า….

นี่ก็รีบเข้าห้องน้ำ จิบน้ำแล้วมาประจำที่ มาเร็วด้วย ก็อธิบาย VP ไปว่าอาทิตย์ที่แล้วก็แบบนี้ คือเราต้องพูดไม่หยุดเลย มันเหนื่อยมาก เค้าก็เข้าใจนะ(เข้าใจแหละ พูดขนาดนี้ก็ต้องเข้าใจสิ)

มาไวเลยได้มีจังหวะคุยกับน้อง operator ในไลน์

น้องในไลน์มาบอกว่า “พี่ล่ามแปลช่วยเยอะมาก หัวหน้าหนูตอบอะไรก็ไม่รู้แต่พี่ก็ช่วยแปลอธิบายให้ดีมากๆเลย”

เห้ออออ ดีจายยยย มีคนเข้าใจบ้างก็ดีแล้ว แค่ยิ้มรับคำชมเฉยๆ แต่ใจคือดีใจจนแทบร้องไห้ ขอโทษที่ต้องเก๊กหน้า เพราะยังต้องแปลต่อ มันเป็นงานที่เหนื่อยมากกกกกกก
กดดันมากด้วย บางคนเค้าก็ไม่เข้าใจ คิดว่าเราไปว่าเขา ทั้งๆที่เราพยายามจะช่วย (ช่วยตัวเองนี่แหละ ตอบไม่รู้เรื่องก็ยิ่งต้องแปลนาน เหนื่อย)

พรีเซนเตอร์น่าจะเครื่องรวนไปแล้ว พี่เขาไม่สามารถตอบคำถามได้แล้วอ่ะ อธิบายได้แค่บทพูดที่ตัวเองท่องมาซ้ำไปซ้ำมา สงสารนะ นี่ปรับคำแปลให้ซอฟท์แบบเปิดโหมดซอฟท์เบอร์แรงสุด มากกว่านี้ต้องนั่งพับเพียบแปลแล้ว ถนอมความรู้สึกคนฟังตามที่ได้รับ feedback มาสุดๆ

แต่ไม่ได้คือไม่ได้ไง พี่เท็ดดี้วีนไปหลายรอบมาก “เมื่อวานผมก็บอกไปแล้วนะ ทำไมไม่ทำ” ไม่ได้เป็นปัญหาที่แปลซอฟท์ไปหรอก เนื้อหาน่ะเก็บครบ เน้นให้ด้วย แต่เขาทำไม่ทัน หรือไม่ก็ครับไปงั้นๆ หรือไม่ก็คิดว่าพี่เท็ดดี้จะจำไม่ได้ แต่บอกเลย พี่เท็ดดี้ไม่เคยลืม

จริงๆเราเคยได้รับคอมเม้นจากพี่คนไทยประมาณว่ามาตรฐานในการทำงานสูงเกินไปด้วยแหละ 😀
เราปรับคำแปลให้ซอฟท์ลงได้ถ้าตอนนั้นเราไม่เหนื่อยเกินไป แต่มาตรฐานในการทำงาน เราว่าพี่เท็ดดี้ไม่น่ายอมลดให้ใครนะ ลดไม่ได้จริงๆ เราเองก็พยายามแทบเป็นแทบตายที่จะแปลตามให้ทันความคิดเขาเหมือนกัน

ขนาดวันสุดท้ายของการทำงานของปีนี้ก็ไม่ได้สบายเลยนะ ไปยืนเฝ้าไลน์มาหลายวันแล้ว พี่เท็ดดี้ก็ลงไปนอนมุดๆ ล้วงมือไปใต้เครื่องจักรหางานหล่น (พวกชิ้นส่วนเล็กๆ) กฎการทำงานคือ อะไรหล่นต้องหาให้เจอ ไม่งั้นห้ามผลิตต่อ พอก้มลงไปก็คือเจอชิ้นส่วน ที่น่าจะตกมานานแล้วเยอะอยู่ พี่เท็ดดี้สั่งหยุด ให้เคลียร์พาร์ทหล่นให้หมด แกไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นมาหลายวันจนสนิทกับ operator ที่ยืนประกอบงานแล้ว ปกติถ้าเป็นคนประกอบงานในไลน์ บางคนก็ตะกลัวคนญี่ปุ่น กลัวโดนดุ ดังนั้นเวลาเราลงไปแปลในไลน์ ถ้าคนฟังคือแผนก production เราจะแปลซอฟท์มาก แต่ก็เข้าใจว่าสำหรับพนักวาน มันก็กดดันอยู่ดี ยิ่งที่คนมายืนพูดหลายๆคนข้างหลังยิ่งโคตรกดดัน เคยเห็นพนักงานมือสั่นตอนเราไปแปลออดิทไลน์ก็บ่อย นี่เลยพยายามทำเสียงให้มันน่าฟังและฟังง่ายแหละ (อยากได้เสียงผู้ประกาศข่าวสาวท่านหนึ่ง) แต่พอน้อง operator เริ่มชิน ทีนี้ชิลล์แล้ว คุยกับ VP สบายๆเลย ยังมีมาแซวเราด้วยว่า “หนูเห็นเวลาพี่ล่ามฟังหัวหน้าหนูพูดแล้วพี่ขมวดคิ้วแบบนี้เลยอ่ะ หนูสงสารพี่มากเลย” นี่ก็ถามน้อง “แล้วเราฟังหัวหน้าเราเข้าใจมั้ยคะ” น้องส่ายหน้าอ่ะ 55555

โหมดยากก็จะประมาณนี้แหละ ต้องแปลได้ไม่พอ ต้องตามความคิด จินตนาการของ TOP ให้ทัน ต้องเรียบเรียงอะไรที่มันฟังไม่รู้เรื่องให้ออกมาพอเข้าใจ ต้องระวังคำพูดที่เลือกใช้สุดๆทั้งๆที่มีเวลาคิดแค่ไม่กี่วินาที บางคนเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ก็อาจจะมองว่าล่ามก็แค่แปลๆไปสิ ฮ่ะๆๆๆ ถ้าฟังเข้าใจก็แปลไปแล้ว อยากแปลจะตายไป

ทั้งหมดก็เป็นเรื่องการดีลกับคนนั่นแหละ มันไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์หรอก เราปรับแต่งนิสัย(เวลาทำงาน) ขัดเกลาความสามารถ ปรับสีหน้าให้ดูเป็นมิตร ก็คือทำทุกอย่างที่ทำได้ ทำซ้ำๆทุกวัน

ปีนี้เป็นปีที่พยายามใจดีกับคนอื่นอย่างสุดความสามารถเลย ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องดีใช่มั้ย แต่มีคนเดียวที่ต้องลำบากที่สุดกับการที่เราเลือกทำแบบนี้ ก็คือตัวเราเอง

ยิ่งเราใจดีกับคนอื่นมากเท่าไหร่ คนคนเดียวที่เราใจร้ายกับเค้าที่สุดคือตัวเราเอง

เราทำให้ตัวเองต้องทำงานหนัก แทบไม่ได้หยุดพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ได้ดื่มน้ำให้มากพอ ไม่ค่อยมีเวลาเข้าห้องน้ำ ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น เมินเฉยกับความรู้สึกของตัวเอง มันอาจจะดูดีนะตามมาตรฐานของสังคมน่ะ ใครๆก็มักจะบอกเราเวลาอยากให้เราปรับปรุงตัวอะไรสักอย่างอยู่บ่อยๆ ว่าทำแบบนั้นสิทำแบบนี้สิ มันจะน่ารัก จะได้เป็นที่รักของคนอื่น สังคมตั้งค่า default ให้มนุษย์ทุกคนควรจะทำตัวดีๆ ทำตัวให้เป็นที่รัก

ต่อให้เราจะไม่ได้อยากถูกรักหรือได้รับความเอ็นดูอะไรขนาดนั้น สังคมก็อยากให้ค่า default นั้นกับเรา แล้วเราก็ดันทำตามนั้นแค่เพราะขี้เกียจจะอธิบายว่าทำไมไม่ทำ ก็เลยกลายเป็น 営業スマイル และอื่นๆที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อหาระดับที่เหมาะสมที่สุดมาหลายปี เราไม่ต่อต้านเลย เราทำตามหมดเลย

ตอนนี้ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยเป็นมนุษย์ ไม่ค่อยมีความรู้สึก เหลือแค่ความรู้สึกเหนื่อย กับความรู้สึกเศร้าแหละ อาจจะมีโมเม้นท์ดีใจเล็กๆบ้าง ซึ่งถึงแม้มันจะเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีค่ามากเลยนะ สำหรับเราที่เป็นก้อนอะไรสักอย่างที่อัดแน่นด้วยความเหนื่อยและความเศร้า แค่เรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เล็กๆ ก็ดีมากพอแล้วล่ะ

เราไม่ค่อยเขียนความรู้สึกบางอย่างเพราะคิดว่ามันเบียวอ่ะ แต่ต่อจากนี้คิดว่าคงแสดงด้านนี้ออกมามากขึ้นมั้ง เห็นมีคนมาคอมเม้นว่าอ่านบล็อกเราแล้วรู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกัน หรือว่า 共感 ถ้าเราเอาแต่ปกปิดหรือหลบซ่อน ก็ไม่ค่อยดีกับคนที่ตามอ่านเท่าไหร่ จริงมั้ย ? ไม่ดีกับตัวเราเองด้วย สู้ยอมรับไปตรงๆเลยดีกว่า ใช่ เราโคตรเบียวเลย 555

มีคนบอกเราว่า “เรารู้สึกเหมือนคุณเป็นประเภทถ้ามีใครมาทำให้เจ็บ คุณจะทุบแก้วแตกแล้วกำเศษแก้วนั่นจนเลือดไหลเต็มมือแต่จะทำหน้าไม่เจ็บปวดทั้งที่ตัวเองเจ็บจะแย่”

อ่า…น่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ

แล้วเค้ายังบอกเราอีกว่า “ทำในสิ่งที่อยาก ทำไปเลย ทำเยอะๆ ให้ตัวตนของคุณมันแผดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพราะถ้าในชีวิตจริงไร้หนทางแสดงออก ก็แสดงมันผ่านผลงานทั้งหมดของคุณเลย”

เรารู้สึกว่าเค้ารับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีกว่าเราอ่ะ เราเลือกที่จะซ่อนมันให้มิดที่สุด แล้วก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่คนคนนี้เลือกที่จะซ่อน เก็บ สะสมไว้จำนวนหนึ่ง แล้วแสดงออกมาแบบระเบิดมันผ่านผลงานอ่ะ ผลงานเขาดูเป็นดอกไม้ไฟแห่งความเศร้าที่ตระการตาสำหรับเรานะ

ช่วงนี้เราชอบฟังเพลงของ Ado มาก คือก่อนหน้านี้ฟังแต่ HoneyWorks น่ารักนุบนิบ แกล้งทำเป็นสดใสกลบเกลื่อน พอมาฟัง Ado ว้าวววว เหมาะกับช่วงเวลาแบบนี้มาก ให้เพลงมันกรีดร้องแทนเรา

ตอนนี้แปลมังงะเล่มหนึ่งอยู่ เนื้อหาก็เกี่ยวกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตนี่แหละ นี่แปลไปก็จะมีช่วงแบบสะอึกแล้วหันมามองตัวเองนิดนึง ลำบาก(ด้านจิตใจ)อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยิ่งอยากทำให้ดี

Leave a comment