สวัสดีค่ะ ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานมาก ดูจากตัวเลขสถิติของ wordpress แล้วยังมีคนมาตามอ่านของเราอยู่ คืออาจจะเสิร์ชหาคำศัพท์แล้วเจอพอดี ถ้าสิ่งที่ตัวเองเขียนพอจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งจริงๆค่ะ
ปัญหาที่พบบ่อยๆในการทำงานและเพิ่งเจอมาวันนี้เลยสดๆร้อนๆคือเรื่องการสื่อสาร พอมาทำงานแล้วรู้เลยว่าคนไทยส่วนมากสื่อสารไม่เก่ง
ล่ามเลยเป็นอาชีพที่ต้องปวดหัวบ่อยๆ แปลๆไปนี่หัวสมองแทบจะระเบิดกลางอากาศให้ได้ โดยเฉพาะกับเรื่องยากๆ ซับซ้อน ไม่พอแถมยังมีตัวเลขเยอะๆอีก (พี่คะ ถ้าหนูเก่งตัวเลขหนูไม่มาเป็นล่ามหรอกค่ะ เมตตาหนูหน่อย ช้าๆนิดนึง)
เรามักโดนเหตุการณ์ที่ต้องแปลอะไรที่ไม่เข้าใจโดยไม่รู้ตัว สถานการณ์บังคับให้ต้องแปลไปโดยที่ไม่มีความเข้าใจเนื้อหาเลยสักนิด
ตอนปีแรกของการทำงานเราแปลพูดโดจิ(พูดพร้อม)เลยนะ คือไม่ใช่เก่ง แต่มันแปลโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดไง ก็แค่พูดซ้ำคำต่อคำไปเรื่อยๆ พอแปลจบไม่เหลืออะไรในหัวเลย จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง อีกอย่างเนื้อหางานเป็นดรออิ้งด้วย ก็พูดๆตัวเลขตามดรออิ้ง ตามสเปคไป พอเริ่มคุ้นกับงานมันก็ไม่ซับซ้อน เคยหลับทั้งๆที่แปลๆอยู่มาแล้ว (ที่เล่านี่ไม่ได้ภูมิใจนะ อาย แบบว่าคนญี่ปุ่นก็เขียนกระดานไป เราก็พูดๆไป แต่คนไทยที่นั่งมองหน้าเรานี่คือช็อค หลับจริงๆแบบอ้าปากค้างน้ำลายจะยืด แต่มันยังแปลอยู่นะ)
พอย้ายที่ทำงาน คนที่ทำงานปัจจุบันเคยชินกับการรัวๆใส่ล่าม แล้วให้ล่ามไปสรุปให้นายญี่ปุ่นฟังเอาเอง บอกได้เลยว่ายากมากถึงมากที่สุด เรามีปัญหากับวิธีการทำงานแบบนี้มาก
1.เปลืองสมองต้องจำเรื่องที่เค้าพูดๆยาวๆ และจับใจความ ทำความเข้าใจ เอาไปพูดกับนาย
2.นายมีคำถาม
3.เอาคำถามนายไปถามคนไทย
4.คนไทยถามกลับมา
5.เอากลับไปถามนาย
วนลูปข้อ 2-5 ไปเรื่อยๆจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพอใจ
วิธีการแบบนี้มันบังคับให้เราต้องทำความเข้าใจเนื้อหาไปโดยปริยาย เหนื่อยมาก แต่เชื่อมั้ย พอถึงจุดๆหนึ่งที่เราเข้าใจ
เราจะแปลได้โดยที่ตัวเองก็เข้าใจและคนญี่ปุ่นก็เข้าใจด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความพอใจอย่างมากของล่าม (นานจะทำได้ดีสักที)
อย่างที่ล่ามน้องต่ายบอกแหละค่ะ “แปลได้เป็นเรื่องตลก เพราะปกติหนูแปลไม่ได้”
อาชีพล่ามอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรมาก อย่างที่คนอื่นชอบมอง แค่พูดๆๆก็ได้เงินเดือนเยอะๆแล้ว
แต่เนื้อหาของงานจริงๆมันยาก ต้องใช้สติ สมาธิ ปัญญา ไหวพริบ ทุกๆอย่าง ในเวลาที่จำกัด บางคำเปิดดิกก็รู้แล้ว แต่เอาเวลาที่ไหนไปเปิดล่ะ ไม่รู้แล้วต้องทำไง?
แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจกับทุกเรื่องที่เราไม่รู้ พอเวลาผ่านไป เรื่องที่เราไม่รู้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่เรารู้ เรื่องที่เรารู้ก็เพิ่มมากขึ้น (แต่ก็มีเรื่องที่ไม่รู้ใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอยู่เรื่อยๆแหละ)
แต่เชื่อมั้ย ปัญหาในโรงงานส่วนมากมักเป็นปัญหาเดิมซ้ำๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจสักปี(คนเก่งๆอาจจะแค่สัปดาห์เดียว) คุณก็สามารถเป็นล่ามในโรงงานนั้นได้แบบไม่กดดันตัวเองเพราะแปลไม่ได้แล้ว
เมื่อก่อนเราชอบแปลโดจิ สบายหัวดี ไม่ต้องจำอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แค่เหนื่อยปากหน่อย รู้เรื่องก็ดี ไม่รู้เรื่องก็พูดๆๆๆซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจกันได้
แต่เดี๋ยวนี้เราอยากจะเข้าใจนะ บางทีตอนแปลไม่เข้าใจ เราก็แปลโดจิ(แบบแปลผ่าน) ตามคำพูดเป๊ะๆไป แต่หงุดหงิดนะ ที่ไม่เข้าใจ
ไม่ได้อคติว่าแปลโดจิไม่ดีนะคะ แปลโดจิจะดีในกรณีที่เราเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดี แปลโดจิไปเลยจะช่วยลดเวลาได้เยอะ แต่แปลโดจิที่ตัวเราทำ คือการแปลผ่าน แปลส่งๆ เหมือนท่องคำพูดแค่เปลี่ยนภาษา เมื่อก่อนเราทำแบบนั้นประจำ แต่ตอนนี้เราจะทำเฉพาะตอนเราไม่เข้าใจและหงุดหงิด (นิสัยไม่ดีเลย)
พอแปลจบ เราเดินไปถามคนไทยที่พูดเลย ให้เค้าอธิบายให้เราฟังใหม่ทั้งหมด เราบอกว่าเมื่อกี้ที่เราแปลไป เราไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเราพูดอะไรออกไป เราก็มานั่งทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด ถึงมันจะเสียเวลา แต่ทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีกับตัวเองมากกว่า
แล้วพอเราเข้าใจเรื่องแล้ว พอแปลครั้งหน้ามันจะง่ายขึ้นเยอะ (ปัญหามันยังไม่จบนี่ คนพูดงงๆ คนแปลก็งง นายฟังก็งง มันเลยต้องมีต่อรอบสองอยู่แล้ว)
ถ้าล่ามคนไหนอยากพัฒนาตัวเอง ก็พยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาให้มากๆเข้าไว้ เก่งภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวไม่ทำให้เป็นล่ามที่เก่งได้หรอกค่ะ ต้องทำความเข้าใจได้ดี ถ่ายทอดได้ดีด้วย
มันอาจจะฟังดูเป็นคำพูดปลอบใจตัวเอง เพราะเราก็เป็นล่ามที่ไม่ได้เก่งภาษาญี่ปุ่น แต่ถ้าเราใช้ความพยายามมากพอ สักวันผลของความพยายามมันต้องปรากฏมาให้เราเห็นแน่ๆ
โอ๊ะ วันนี้สาระมาเต็ม ฝนจะตกพายุจะเข้ามั้ยเนี่ย ไปก่อนนะคะ บ๊ายบาย