สัมมนาการสอนภาษาญี่ปุ่นภายใต้สถานการณ์ COVID-19

คำเตือน: สรุปสัมมนาสั้นๆ แต่พรรณนาเรื่องตัวเองอย่างยาว😂🤣

สัมมนาการสอนภาษาญี่ปุ่นภายใต้สถานการณ์โควิด 19 โดย OJSAT

เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สอนภาษาญี่ปุ่นแล้ว คนเรียนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ขี้เกียจสอนเองด้วย คือนี่ก็ไม่ได้สอนดีขนาดนั้น คนอื่นสอนดีกว่าเราเยอะแยะ ไม่ได้มีจิตวิญญาณความเป็นครูขนาดนั้น

แต่ได้ทดลองสอนออนไลน์มาก่อนตั้งแต่ก่อนโควิดจะระบาด เพราะทำโปรเจคแลกโดเนทเลือกตั้งไอดอล ก็เลยค่อนข้างคุ้นเคย พวกอุปกรณ์ที่ลงทุนซื้อมาสอน ก็ได้เอาไปใช้สอบออนไลน์ที่เรียนนิติมสธ.ด้วย คุ้มๆ

คุ้มจริงมั้ยไม่รู้ แต่กิเลสดับได้ด้วยการซื้อ ถ้าเราอยากได้ก็ซื้อๆไปเถอะ

หัวข้อสัมมนาเราฟังแบบผ่านๆนะ เพราะไม่ตรงสายโดยตรง ส่วนมากเราดูการทำงานของล่ามมากกว่า เพราะเป็นการสัมมนาแบบสองภาษา

ล่ามเก่งมากกกกกกกกก คือสัมมนาสองวัน แปลพูดสลับ แล้วล่ามคนเดียวคือโซโล่ยาว (วิทยากรบางท่านอาจจะพูดเองแปลเองบ้าง) แต่มาอยู่ตรงเวทีนี้ที่ทุกคนก็รู้ภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ล่ามท่านนี้คือมีทั้งน้ำเสียง จังหวะ ความมั่นใจ ทุกอย่างโคตรจะมืออาชีพ มันเนียนไปหมด

เอาจริงๆคนพูดบางคนที่อาจจะไม่ชินกับการออกกล้อง ยังพูดตะกุกตะกักกว่าล่ามแปลเลย

จะไม่พูดถึงเรื่องทั่วๆไปของความยากลำบากในการเรียนการสอนแบบออนไลน์นะเพราะคิดว่าคงหาอ่านหาดูได้จากแหล่งอื่นอยู่แล้ว แต่เพิ่งรู้ว่าข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนทางไกลสามารถหาดูได้จากเว็บไซต์ของมหาลัยโอซาก้าหรือฮอกไกโด พอดีเขาบอกว่าจะแชร์สไลด์ให้ แต่ยังไม่ได้เลย เข้าทั้งสองวันเข้าก่อนเวลาก็ไม่เจอ กดลิงค์ทันแค่ของโอซาก้า

อีกข้อมูลหนึ่งที่ได้มาแล้วรู้สึกว่าเป็นประโยชน์คือ Material ในการสอน
แบบเราๆนี่จะโตมากับมินนะ โนะ นิฮงโกะ จริงๆตอนเราม.ปลายเราเรียนอากิโกะ แต่ตอนทำงานแล้วแล้วได้เป็นคนสอน เราสอนมินนะ

แต่หลังๆมาก็มีการพัฒนาตำราเรียนซึ่งมีเวอร์ชั่น PDF สามารถไปโหลดได้เลย (ฟรีด้วย ถ้าจำไม่ผิด) ก็คือ IRODORI กับ MARUGOTO หากต่อไปมีโอกาสได้สอนก็คิดว่าจะใช้สองเล่มนี้บ้างแล้ว เพราะมี material ที่เป็นรูปแบบบออนไลน์และเผยแพร่อย่างถูกลิขสิทธิ์อยู่แล้ว

เคยสอน MARUGOTO ในคอร์สสนทนาสำหรับคนทำงานอยู่คอร์สหนึ่ง ก็รู้สึกว่ายาก แต่ก็คิดว่าเป็นตำราเรียนที่ดีนะ แต่ตอนนั้นไม่ได้ขยันอ่านให้จบเล่ม จบคอร์สก็จบกันไป ไม่ได้สอนต่อ ประกอบกับพอโควิดระบาดเลยไม่ได้รับงานกับโรงเรียนสอนภาษาแล้ว

เอาจริงๆถ้าจะสอนให้ดี คนสอนเองก็มีหลายๆอย่างที่ต้องเตรียมเยอะมาก

อาจารย์บางท่านก็ต้องฝึกทำสไลด์ เอาสกิลวาดภาพมาใช้ ตัดต่อวิดีโอ บางทีก็ต้องฝึกเป็น Youtuber เพื่อให้ตัวเองไม่เขินกล้อง หรือเรียนรู้ว่าใช้นำเสียงแบบไหนจะฟังแล้วรื่นหู ซึ่งเรื่องพวกนี้มันเอามาประยุกต์ใช้กับงานล่ามได้เหมือนกัน

เราคิดว่าสำหรับผู้สอนแล้ว สิ่งที่ยากกว่าการสอนคือการประเมินผลมากกว่า ไหนจะต้องรับมือกับความเครียดส่วนตัวของตัวเอง ความเครียดของผู้เรียน เราอาจจะต้องบอกตัวเองอยู่บ่อยๆว่า 無理しないで หรือ 無理させないで แต่สุดท้ายแล้วมันก็มีแรงกดดันจากภายในและภายนอกอยู่ดีว่าต้องการประสิทธิผลแค่ไหน ซึ่งการบาลานซ์ตรงนี้ค่อนข้างยากและท้าทายมากทีเดียว

เราเพิ่งผ่านการเป็นผู้เรียนทางไกลของมสธ. มา เอาตรงๆรู้สึกโชคดีมากที่น่าจะเรียนจบได้ก่อนช่วงนี้ที่ปัญหากำลังสุมๆและพร้อมจะระเบิดโบ้มออกมา จากการเลื่อนสอบที่เลื่อนออกไปนานมากจนผู้เรียนได้รับผลกระทบ ในกลุ่มผู้เรียนที่อยู่ในเครื่องข่ายโซเชียลมีเดียก็เดือดอยู่ เราเข้าใจนะ เพราะเค้าต้องเอาวุฒิไปใช้ทำอย่างอื่นต่อ บางคนก็อายุมากแล้ว ไม่คุ้นเคยกับการสอบออนไลน์ ก็รอสนามสอบมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องจบล่าช้าไปเป็นปีๆ หรือเงื่อนไขของการลงวิชาสุดท้ายที่ต้องรอให้เหลือวิชาไม่เกินสามวิชา แต่ผลสอบยังไม่ออกหรือยังไม่ได้สอบ ก็เลยกระทบต่อกันไปเป็นลูกโซ่

จะว่าตัวเองไม่เดือดร้อนก็ไม่ได้หรอก เราก็มีผลกระทบอยู่คือผลสอบวิชาสุดท้ายยังไม่ออก ทั้งๆที่ควรจะออกได้แล้ว แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ต้องเอาวุฒิไปใช้ทำอะไรต่อ ก็เลยเฉยๆ แต่ก็อยากรู้นะ แอบเช็คเกือบทุกวันอยู่เหมือนกัน

มองย้อนกลับไปที่การทำงานของตัวเอง นี่รู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าสำเนียงเราไม่ดีอ่ะ แย่ทั้งภาษาญี่ปุ่นทั้งภาษาอังกฤษเลย เดี๋ยวจะมีงานต้องใช้ภาษาอังกฤษด้วย บอกตรงๆโคตรหนักใจ แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่เราจะเตรียมตัวได้เลย

ของภาษาญี่ปุ่นนี่รู้แล้วว่าตัวเองควรทำอะไร
ควรดู Youtube หนัง อนิเมะ ฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นให้มากขึ้น ควรใช้ชีวิตให้มีภาษาญี่ปุ่นอยู่ในชีวิตให้มากขึ้น

แต่เอาตรงๆจากใจไม่สร้างภาพ… อิ่มแล้ววว เลิกงานมาคือปิดโหมดไม่รับรู้ภาษาญี่ปุ่น นี่เป็นล่ามเพราะพยายามบังคับตัวเองให้ทำงานที่ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น ไม่งั้นลืมหมดจริงๆ

ใจไม่ได้รักขนาดนั้นอ่ะนะ เข้าใจเลย นี่ก็มีเพื่อนที่ใจรัก กับเพื่อนที่เป็นแบบเรา คือเป็นล่นะ แต่เลิกงานมาอย่ามาคุยภาษาญี่ปุ่นกับฉัน ฉันฟังไม่ออก 555555

ใจมันรักเรื่องอื่นมากกว่า ก็เลยเป็นล่ามที่เป็น IT Support กราฟฟิกดีไซน์เนอร์ ตีดต่อวิดีโอ ทำซับ 5555

ถ้าเลือกได้ก็อยากใช้เวลาไปกับการวาดรูป ทำสื่อ ศึกษาเรื่องการตัดต่อวิดีโอมากที่สุด

แต่ตอนนี้ก็ชอบเรียนพวก Data Analysis ถึงจะฝั่งผ่านๆก็เหอะ แต่การจะออกแบบอะไรสักอย่างให้โดนใจคนอื่น มันก็ต้องผ่านการศึกษา การวิเคราะห์มาเยอะมากๆ ซึ่งตรงนี้เราก็ยังเตาะแตะเป็นเบบี๋อยู่เลย

ก็ดีใจนะที่วันก่อนมีน้องเอ็นจิเนียที่มี passionเรื่องการเขียนโปรแกมมาชวนให้ไปเขียนแอพขาย น้องอยากทำ UX ให้เราทำ UI

เอาจริงๆนี่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ทุกๆวันก็พยายามเรียนรู้เท่าที่ตัวเองจะเรียนไหวอยู่ แต่พอเรียนออนไลน์มากๆคือปวดตา สังขารไม่ไหวแล้วจริงๆ

วันที่ฉันจ๋อย…

วันแห่งความเสียเซลฟ์

อย่างที่โพสไปว่าคะแนนภาษาอังกฤษออกมาแล้ว สำหรับเรามันไม่น่าพอใจ ยิ่งเห็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับภาษาได้ 800+ ยิ่งแอบเฟลในใจ

คือเข้าใจนะว่าเราไม่ได้ทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษโดยตรง แต่เวลา user มองก็มักถูกตัดสินไปว่าคนเรียนภาษา ก็จะต้องเก่งภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งไม่จริงเลย

เดี๋ยวประมาณเดือนหน้าเราจะมีงาน ที่ต้องไปอ่านภาษาอังกฤษให้คนจำนวนมากฟัง เอาจริงๆเราเครียดมาก เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเลย ลิ้นพันกัน การออกเสียงแย่มาก (ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ดีนะ)

ตอนนี้ก็เลยรื้อเอาคอร์ส Pronunciation ที่ซื้อใน Udemy นานแล้วมานั่งเรียน แต่ก็ไม่ค่อยขยันหรอก ค่อนข้างสนใจ Data Analyst มากกว่าจะต้องเป็นล่ามภาษาอังกฤษ (อ่าน) น่าจะมีแปลนิดหน่อยแค่ตอน Q&A

แต่ตอนนี้คือยังไม่ได้เอกสาร ยังไม่ได้ทำสคริป ไม่มีอะไรให้สักอย่าง ขอแล้วก็บอกไม่มี

เดี๋ยวจะมีกิจกรรมเดือนแห่งคุณภาพ ปกติที่แปลทุกปีก็คือ Message จาก Top Management

เมื่อก่อนจะได้ไปแปลต่อหน้าคนทั้งโรงงาน แต่ก็มีสคริปแหละ เพราะว่าไปยืนตรงโพเดียมตรงนั้น ลำโพงมันหันออกจากฉัน ไม่ได้ยินอะไรเท่าไหร่เลยจ้า

เดี๋ยวนี้โควิด ทำงั้นไม่ได้แล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็น Pop-up message แทน แต่แทนที่จะให้คนญี่ปุ่นที่ต้องพูดเป็นคนแต่ง พี่คนไทยแผนกเราดันเกิดอยากจะแต่งเป็นภาษาไทย แล้วแปลเป็นญี่ปุ่นให้เค้าพูดตามซะงั้น

ทำไมหาทำอะไรแปลกๆอ่ะ งงนะ

แต่นี่ก็เข้าใจว่าลุง EVP คงเช็คแล้วแต่งใหม่เองแหละ

คือภาษาไทยที่พี่คนไทยเขียนมา มันอ่านเข้าใจยากมากกกกก แบบ แปลกๆอ่ะ รู้ว่าแปลเป็นญี่ปุ่นแล้วมันจะประหลาด แล้วนี่ก็รู้ตัวเลยว่า เออ….ทำไม่ได้

เจอคำว่าเกราะป้องกันเข้าไปก็แบบ….เอิ่มมมม ต้องทำไงดี เลิ่กลั่กใหญ่เลย

นี่บอกคนเอามาให้แปลว่า… พี่ลองอ่านก่อนนะคะ ถ้าพี่อ่าน แล้วพี่แปลเป็นอังกฤษมาให้ได้ ก็แปลเป็นญี่ปุ่นได้ค่ะ

ไม่ได้ตีรวนหรือกวนตีนอะไรเลยนะ แต่มันเป็นประสบการณ์หลอนที่จำฝังใจ ตอนทำงานที่แรก จำได้เลย พี่คนนี้อยู่แผนก ISO เขียนเมลล์มาให้แปล

เป็น INPUT ภาษาไทยที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนั้นก็ฝืนแปลไป

กลายเป็นเราโดนลุงญี่ปุ่นเรียกไปคุยที่โต๊ะ บอกว่าไม่เข้าใจเลยว่าเธอแปลอะไรออกมา อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

เออ นี่ก็อ่านภาษาไทยไม่เข้าใจเหมือนกัน ถามพี่คนไทยแล้วเข้าบอกให้แปลๆไปก่อน ให้ทำไงอ่ะ?

อ่ะจบไปเรื่องในอดีต อันนี้ก็ต้องทำ ก็เลยพยายามแปลเท่าที่ตัวเองทำได้ แล้วก็ทักแชทไปหาพี่ อ. ซามะ (พี่ล่ามที่บริษัทนี่แหละ)

นี่เอะอะก็พี่ อ. ช่วยด้วยตลอดเลย

พี่อ.เป็นคนทำงานแปลเอกสารมาเยอะ ทำนอกฟีลด์ตัวเองเยอะ เพราะอยากรู้ รับงานแปลเยอะมาก แล้วแปลหลากหลายวงการ ภาษาญี่ปุ่นสวยงาม เขียนดีกว่าคนญี่ปุ่นเขียนเองอีก อันนี้ไม่ได้อวยนะ แต่อ่านแล้วรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

นี่ก็ส่งงานให้พี่เค้าช่วยแก้ให้พออ่านอันที่ได้คืนกลับมา น้ำตาจะไหล รู้เลยว่าตัวเองโง่แค่ไหน

คือฝั่งการแปลล่ามอ่ะ มันกลับไปกลับมา JP-TH อยู่แล้ว มันกล้อมแกล้มได้

ส่วนฝั่งการแปลเอกสาร บอกเลยว่าส่วนมาก ได้แปลเฉพาะ JP>TH, JP>EN

ที่จะได้แปล TH>JP มีแค่เมลล์สั้นๆ ง่ายๆดังนั้นสกิลการแปลไทยเป็นญี่ปุ่นเลยต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก

วันเสาร์ที่แล้วก็ไปฟังสัมมนาของ JTAT เรื่องการสอนแปลภาษาญี่ปุ่น ก็มีการชี้ให้เห็นถึงการสอนแปลแบบ Grammar translation method ว่ามันกลายเป็นปัญหาอย่างไร

ซึ่งฟังไปก็แบบ อื้มมมมม จริงมากกกกกกกกกกกกกกก

แถมนี่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไวยากรณ์อ่อนแออีก เป็นโมเม้นท์ที่แบบ แง…โง่ขนาดนี้ยังกล้าที่จะ…

ตะกี้ฟัง Terp Talk เขาพูดถึงสุภาษิต “หมูไม่กลัวน้ำร้อน”

ใช่เลย ฉันเองงงงงงงงงงงงงงง

ตอนนี้เฟลมาก นั่งจ๋อยเป็นหมาหงอยไปเลย Self-esteem ดิ่งลงฮวบๆ หลังจากมั่นหน้าหลอกตัวเองมาตั้งนาน

ตัวจริงๆตัวใหญ่อยู่ แต่ตอนนี้ใจหดลงเหลือจิ๊ดเดียวเลย เป็นวันที่โคตรจ๋อยเลยอ่ะ

ผลสอบ STOU-EPT ออกแล้ว

ตอนแรกคิดว่าต้องรอมหาลัยส่งไปรษณีย์มาให้ (เพราะตามประกาศเขียนไว้แบบนั้น) ก็งงว่าทำไม เพราะถ้าเป็นสอบรอบปกติ สอบเสร็จก็รู้คะแนนเลย

แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นช่วงท้ายของการเรียน ที่เราน่าจะหมดไฟไปนานแล้ว ก็เลยคิดว่า อะไรก็ได้

พอผลออกมาได้ 620/1000 น้อยกว่าคะแนนที่อยากได้ (อยากได้ 700 up)

Dialogue 80/100
Vocab 60/100
Structure 120/200
Reading 260/400 <—ผิดหวังอันนี้ที่สุด 55555
Writing 100/200

เทียบกับ TOEIC เราว่า STOU-EPT ยากกว่า เพราะไม่มี Part Listening มาช่วย คะแนนเราก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ตอนแรกนึกว่าต้องรอคะแนนทางไปรษณีย์ แต่มีคนมาโพสถามแบบนอยด์ๆว่าได้น้อย ก็เลยรู้ว่าออกแล้ว แล้วเค้าก็บอกวิธีเช็คด้วย

นี่ก็เลยบอกคะแนนตัวเอง เพราะคิดว่าเค้าคงอยากเทียบว่าคะแนนที่ตัวเองได้มันปกติมั้ย

ซึ่งนี่ก็ได้เยอะกว่าเค้า เค้าก็ชมตามมารยาทแหละ
แต่โดยส่วนตัวก็แบบ นี่ก็คนเรียนสายภาษาอ่ะนะ ถ้าได้เท่านี้ ให้เรามองตัวเองแบบไม่ได้เปรียบเทียบกับใครเราก็ว่าน้อยอ่ะ

ก็อยากรู้ต่อ ว่าคนอื่นได้กันประมาณเท่าไหร่ เมื่อวานเลยไปกด join group คนเรียนมสธ. แบบรวมๆ ไม่ใช่คณะนิติ

อืม… เราได้น้อยจริงๆด้วย คนทำงานแวดวงภาษาเขาได้ประมาณ 800 up

จะบอกว่าก็ใช้ภาษาญี่ปุ่น ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษนี่ ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว เพราะเวลาที่ถูกมอง ก็ถูกมองว่าเป็นล่ามถึงจะเป็นล่ามญี่ปุ่นแต่ก็ควรจะเก่งภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เรียนมาเยอะขนาดนั้น

เร็วๆนี้เรางานเข้าต้องทำงานที่ต้องอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ให้คนเยอะๆฟัง

บอกเลยว่าไม่มีความมั่นใจเลย สำเนียงเราแย่มากกกก นี่ก็ไปรื้อเอาคอร์ส pronunciation ของ udemy ที่ซื้อไว้นานแล้วมานั่งเรียน ก่อนหน้านี้ไม่ยอมเรียนสักที

เข้าใจเลยว่าทำไมผลสอบวัดระดับทางภาษาถึงมักมีอายุประมาณ 2 ปี เพราะพอผ่านแล้ว ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ใช้บ่อยๆ ก็จะโง่ลงจริงๆ

พอคิดแบบนี้แล้วก็คิดว่า ควรสอบ JLPT ดูอีกทีนะ (แต่รอบนี้เราไม่ได้สมัครนะ)

แต่ก็กลัวว่าสอบอีกรอบแบ้วเกอดไม่ผ่านขึ้นมาจะทำยังไงดี

จริงๆก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ก็เหมือนผลสอบภาษาอังกฤษนั่นแหละ แค่ยอมรับความจริงว่าทักษะนี้มันก็อ่อนแอลงได้ ถ้าไม่ได้ใช้บ่อยๆ อ่อนตรงไหนก็ไปเสริมตรงนั้น

เราอยู่ในโลกแคบๆไปหน่อย พอลองออกไปนอกวงการตัวเองแล้วรู้เลยว่ายังรู้ไม่มากพอ

ส่วนตัวคิดว่าอาชีพล่ามต้องหมั่นหาความรู้ใส่ตัว เพราะขอบเขตที่ต้องแปลมันกว้างมากๆ ก็เลยต้องเป็นคนรู้ให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ เพื่อลดอาการบาดเจ็บเวลาไปเจอเนื้อหาที่ไม่คุ้นเคย

เจ็บมาเย้อออออ 55555

ตอนนี้ก็เลยมีสิ่งที่อยากเรียนเยอะมากกกก พอลองทำดูแล้วก็พบว่า เยอะเกิน เหนื่อย จับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่

เราไม่ได้ใจดีกับตัวเองเหมือนเดิมแล้ว

เมื่อก่อนเป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยพยายามบันทึกเรื่องที่มีคนชมเราเอาไว้ เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจในวันที่ใจบาง (ทำเพราะไปแปลเทรนนิ่งแล้วอาจารย์สอนมา) ก็มักจะดีใจเวลาทำงานแล้วมีคนชม ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม

แต่เหมือนทุกวันนี้ เราไม่ใช่คนที่ใจดีกับตัวเองแบบเดิมแล้ว ถึงจะมีวันที่ทำได้ดี หรือมีคนชม เราก็รู้สึกว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ไม่ใช่ความหมายว่าเราหลงตัวเองว่าฉันต้องทำได้ดีทุกครั้ง เพราะฉันเก่ง คือไม่ใช่ความรู้สึกนั้นเลย

แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ต้องทำได้สิ ถ้าทำไม่ได้สิแปลก

กลายเป็นเราไม่ดีใจเวลาตัวเองทำได้ดี ก็มองแค่ว่า รอดไปอีกวัน ก็พยายามรักษามาตรฐานของตัวเอง เพราะวันไหนพลาดมา มันอาจจะเป็นวันที่แย่ก็ได้ พอมีวันที่ทำได้ดีตามมาตรฐาน ก็เลยไม่ได้ดีใจอะไร แล้วก็ทำเรื่องเดิมๆซ้ำ จนไม่ได้คิดว่าตัวเองทำได้เหนือความคาดหมาย

จริงๆวันนี้เราว่าเราแปลดีนะ เนื้อหาค่อนข้างยาก แต่ก็แปลทัน ตามเรื่องทัน จบแล้วยังแปลสรุปให้น้องเอ็นจิเนียที่ยังตามเรื่องไม่ทันอีกรอบได้ เดินกลับขึ้นมาบนออฟฟิศ พี่ AGM ถามเนื้อหาก็สรุปให้ฟังได้

พอดีคนญี่ปุ่นที่บริษัทแม่เค้าเล่นบทโหดกันนิดหน่อย ไม่อยากแทรกเพราะแทรกไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลย Mute แล้วแปลแบบโดจิให้คนที่อยู่ในห้องประชุมฟัง ลืมไปว่ามีคนไทยที่เข้าประชุมผ่าน MS Teams ด้วย

จริงๆบอกเอ็นจิเนียในแผนกให้ลองแยกห้องแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ไม่เริ่ม Trail กันสักที คงกลัวปัญหาด้านเทคนิค เพราะแค่เปิดไฟล์ แชร์ไฟล์ เสียงออกไม่ออก มีเสียงสะท้อนมั้ย ก็ปวดหัวจะแย่

แต่สำหรับเรา ก็ถ้าไม่เริ่ม ก็ไม่ได้ทำสักที อันนี้ก็ทำได้แต่แนะนำ เพราะเป็นล่ามไม่ใช่ Organizer เสนอแล้วเค้าไม่ทำ เราก็มีหน้าที่แปลก็แปลไป

ที่บอกว่าแปลดีก็ไม่ใช่ความฉลาดด้านภาษาอะไรเลย บอกเลยว่านี่เป็นล่ามที่ใช้ไวยากรณ์เด็กน้อยมาก คนอื่นมาได้ยินอาจจะตกใจได้ อย่าอยากรู้เลย เราอาย 5555

แต่ข้อดีของวันนี้คือมันมีรอบซ้อมก่อนหน้านี้ประมาณ 2 ครั้ง แล้วเราก็ตามเอาเอกสารมาอ่านล่วงหน้า เก็งคำถามที่คิดว่าจะเจอ เก็งคำศัพท์ที่น่าจะเจอได้ค่อนข้างแม่น รอบนี้จดศัพท์ไว้เยอะกว่าปกติด้วย เพราะรู้ว่าคำถามจะยาก แต่เป็นเรื่องที่คนฝั่งบริษัทแม่เขาฟาดกันเอง เราก็แค่แปลให้ได้ และแปลให้ทัน

ฟังเหมือนง่าย แต่จริงๆก็ยากนะ Director ที่ญี่ปุ่นพูดเร็วมาก ถามเยอะ และในสถานการณ์นั้น เราไม่สามารถถามให้เค้าพูดอีกครั้งได้เลย

วันนี้แปลได้ ตามทันหมด เก็บบทสนทนาได้ค่อนข้างครบิ ฟีดแบคจาก User ก็บอกว่าแปลมันมาก สนุกๆ

ก็เลยประเมินว่าทำได้ดี แต่ก็อย่างที่บอก มันไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจ มันกลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำได้อยู่แล้ว ถ้าทำไม่ได้ นั่นแหละเรามีปัญหาแล้ว

พอมาลองทบทวนดูแล้ว เราใจดีกับตัวเองน้อยลงในเรื่องงาน แต่ก็ใจร้ายกับตัวเองน้อยลงเหมือนกัน คือไม่ได้คาดหวังว่าต้องทำให้ได้ วันไหนทำไม่ได้คือผิด แต่คิดให้มันเป็นเรื่องปกติว่าต้องเตรียมตัวยังไง ต้อง Action แบบไหน ก็คือเฉยๆ

วันที่ทำได้ดีก็เฉยๆ วันที่ไม่โอเคก็ปล่อยให้มันผ่านไป

เราคงโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ นี่ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านเนื้อหาในบล็อกที่เคยเขียนไว้หรอก แต่ก็พอจะรู้ว่าเปลี่ยนไปจริงๆ

ช่วงนี้เราเรียนนิติจบแล้ว สอบเสร็จแล้ว อยู่ในช่วงรอเกรดออก ก็หาอะไรเรียนเพิ่ม เรื่องที่สนใจคือ Data Analysis แล้วมันต้องเรียนพวก Excel, สถิติ เป็นภาษาอังกฤษ ก็สนุกดีนะ

เราคงจะชอบแหละ ไม่อย่างนั้นไม่มานั่งเรียนออนไลน์ต่อหลังเลิกงานแทบจะทุกวันหรอก

การฟังเนื้อหาเกี่ยวกับสถิติผ่านๆหูบ้าง ทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของ Production Engineering ดีขึ้นเกี่ยวกับ Data ที่เค้าต้องนำเสนอ ก็พอจะตามเรื่องทันและแปลได้ รู้คำศัพท์เฉพาะบางคำเพิ่มมากขึ้น

บางทีแปลไปก็ใช้ภาษาอังกฤษปนเยอะ (นึกคำไทยไม่ออก) แต่ถ้าลงไปหน้างานถ้าเผลอแปลทับศัพท์ไป ถ้านึกได้จะพูดคำศัพท์ภาษาไทยต่อให้ด้วย ก็พยายามปรับเนื้อหาที่ตัวเองแปลให้เข้ากับผู้ฟัง

ตอนนี้มีสิ่งที่สนใจอยากจะเรียนเยอะมาก หนังสือที่ซื้อมาดองไว้กว่า 200 เล่ม ก็ควรจะอ่าน และก็เป็นวัยที่ควรจะลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณได้แล้วเพราะอาชีพก็ไม่มั่นคงหรอก (ส่วนมากตอนนี้ทุกอาชีพก็ยืนบนความไม่มั่นคงทั้งนั้นแหละ)

เราไดเ้แนวคิดมาจากไปฟัง clubhouse ของคนทำอาชีพอิสระมา เค้าบอกว่าเค้าคิดทุกวันเลยว่าพรุ่งนี้ตื่นมาจะตกงาน

พอเราลองคิดแบบเค้าบ้าง มันก็ดีนะ คือฝึกจำลองสถานการณ์ในหัวบ่อยๆ จากที่เคยกลัว ก็ไม่ค่อยกลัวแล้ว ไม่ได้วางแผนไว้รัดกุมอะไรหรอก ส่วนมากก็ใช้ชีวิตแบบบ้านคนจนในเรื่อง parasite แหละ “แผนที่ดีที่สุดคือไม่มีแผนยังไงล่ะ”

อันนี้ไม่ได้เขียนด้วยความดราม่าอะไรนะ แค่ทบทวนตัวเอง กับซื้อ Mechanical Keyboard มาแล้วมันพิมพ์สนุกดีเลยอยากพิมพ์อะไรยาวๆ 555555

พอโตขึ้นแล้วก็รู้สึกกลายเป็นคนเย็นชาอ่ะ ไม่ค่อยมีอารมณ์หรือรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ส่วนมากจะเฉยๆ ถ้าเกิดว่าเริ่มรู้สึกกับอะไรมากไป ก็จะพยายามดึงตัวเองให้กลับมาสู่สถานะ “รู้สึกเฉยๆ” ก็เลยเขียน Writing Challenge ที่ตอนแรกว่าจะเขียน 30 วัน แต่พอดูหัวข้อแล้วกันเขียนไม่ได้ เพราะหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป

ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยรู้สึกอะไร ไม่ได้คาดหวังอะไร เฉยๆ ทุกๆวันที่ผ่านไปก็แค่ผ่านไปอีกวัน

สิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุด คือการกินอาหารที่อร่อย ชนิดที่ว่าตักเข้าปากไปคำแรกแล้วเราแอบส่งเสียงด้วยความพึงพอใจในรสชาติอยู่ในลำคอ

หรือการใช้เงิน ซื้อคีย์บอร์ดดีๆมาเพื่อพบว่า พิมพ์สนุกจังเลย ทำไมเราไม่ซื้อตั้งนานนะ คือเมื่อก่อนก็งก คีย์บอร์ดหลักร้อยก็พิมพ์ได้ ไม่พังง่ายๆด้วย แต่พอลองเสียเงินซื้อคีย์บอร์ดดีๆมาลองใช้ดู เอ้อ… Love at first touch มีจริงนะ

คือเราเข้าใจมากๆเลยว่าช่วงนี้ต้องประหยัด แต่ช่วงนี้เราก็งานยุ่งมาก ก็เลยอยากไขว่คว้าหาอะไรที่ตัวเองมีความสุขบ้าง

เราไม่ได้รู้สึกมีความสุขเวลาทำงานได้ดีแล้ว ทั้งๆที่เมือ่ก่อนเคยดีใจ อันนี้น่าเสียดายมาก เพราะความรู้สึกดีใจเวลาทำงานได้ดีมันฟรี แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เราต้องสร้างโมเม้นท์ดีใจให้ตัวเองด้วยการใช้เงินอ่ะ ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่นานๆทำทีก็ดีต่อใจนะ

สอบ STOU-EPT มา

อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นโดยตรง แต่เราก็เล่าไว้เรื่อยๆว่าตัวเองเรียนนิติมสธ. อยู่ ก็เลยอยากจะบันทึกความทรงจำของตัวเองเอาไว้หน่อย (และอยากอัพบล็อกแบบลองใช้คีย์บอร์ดที่ซื้อมาใหม่ด้วย บ้าเห่อนั่นเอง)

เราเรียนนิติโดยใช้วุฒิป.ตรี ต้องเรียน 18 วิชา ซึ่งก็สอบไปหมดแล้ว รอเกรดวิชาสุดท้ายคือประสบการณ์วิชาชีพกฎหมายออก

สำหรับนักศึกษามสธ.ตั้งแต่รหัส 60 เป็นต้นไป มีเงื่อนไขว่าต้องสอบภาษาอังกฤษ STOU-EPT ก่อนจบ (ป.ตรีไม่มีเกณฑ์คะแนน แค่เข้าสอบ) ค่าสอบ 600 บาท

ซึ่งปกติแล้วก็มักจะมีเปิดสอบให้คนที่ไปฝึกอบรมเข้มของชุดวิชาประสบการณ์วิชาชีพ ที่เหมือนไปเข้าค่ายที่มหาลัยห้าวัน

นี่ก็งกวันลาพักร้อนไว้ใช้ แต่ก็ไม่ต้องไปอบรมที่มหาลัยเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดยังไม่ได้ขึ้น ก็เลยเป็นการทำกิจกรรมส่งทางไปรษณีย์แทน

รอบนี้มหาลัยก็เลยจัดสอบ STOU-EPT รอบพิเศษ คือสามารถสอบออนไลน์จากที่บ้านได้ ให้กับนักศึกษาที่เข้าเงื่อนไขใกล้จะจบในปีการศึกษานี้ ก็โชคดีที่เราเข้าเกณฑ์ ไม่ต้องเข้ากรุงไปสอบ เพราะชีวิตตอนนี้ไม่สะดวกเรื่องเดินทางจริงๆ

ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย

สรุปชีวิตการเรียนป.ตรีใบที่ 2 ที่มหาลัย เราไปมหาลัย 2 ครั้งถ้วน (สอบ Walk-in Exam) ซึ่งเป็นการไปที่ไม่ต้องไปก็ได้ 5555

ก็คือคนที่เรียนรุ่นใกล้ๆเรา หรือรุ่นเดียวกับเรา เป็นรุ่นที่สามารถเรียนจบได้โดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยเลย เป็นการศึกษาทางไกลแบบสมบูรณ์

กลับมาที่สอบภาษาอังกฤษ ข้อสอบเป็นแบบเลือกตอบ 100 ข้อ มีเวลาให้ 2 ชั่วโมง 30 นาที

ถามว่ายากมั้ย… เราไม่ได้สอบภาษาอังกฤษมานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่สอบคือ TOEIC ปี 2015

สำหรับเรา เราว่า part error ยาก เพราะตัวเองไม่ถนัดข้อสอบ error มาตั้งแต่สมัยมัธยมด้วยแหละมั้ง

อีก part ที่ยากคือ reading เพราะเป็นการสอบบนคอมพิวเตอร์ จึงไม่สามารถใช้ดินสอขีดไฮไลท์ main idea หรือโน้ตลงไปได้ คือสมัยมัธยมเราฝึกทำข้อสอบ reading โดยใช้วิธี skimming&scaning มาตลอดเพราะต้องทำให้เร็ว เลยติดนิสัยชอบขีดเขียนถ้าเป็นข้อสอบแบบอ่านยาวๆ พอสอบบนคอมเขียนไม่ได้เลยรู้สึกว่าประสาทสัมผัสไม่เฉียบคม ลืม ต้องกลับไปไล่อ่านใหม่ เสียเวลา

แต่นี่เป็นคนทำข้อสอบแบบเลือกตอบไวอยู่แล้ว มีเวลาให้ใช้เยอะ เราทำเสร็จใน 1 ชั่วโมง และเป็นความเคยชินที่จะไม่อ่านทวนข้อสอบแนวนี้เด็ดขาด เชื่อความคิดแรกของตัวเอง เคยเทสกับเพื่อนแล้ว ถ้าเราทวนเราจะผิด 5555 ก็เลยไม่เคยทวนมาตลอด

ปกติถ้าสอบ on-site คงออกมากินข้าวกลับบ้านนอนเลย แต่นี่สอบออนไลน์ ต้องนั่งอยู่ในห้องจนกว่าจะหมดเวลาสอบ จะนอนก็นอนไม่หลับ เพราะต้องเปิดกล้องตลอด กลัวน้ำลายยืดให้กรรมการคุมสอบดู

หมดเวลาสอบนี่รีบออกมาเข้าห้องน้ำ กินข้าวสักพัก เข้านอนเลย ปวดหัว ไข้ขึ้น

ไม่น่าจะเกี่ยวกับสอบหรอก แต่อากาศแบบช่วงนี้เรามักจะป่วยเป็นปกติ พอปวดหัวหนึบๆเจอ reading ยาวๆไปคือหนักเลย

ที่เหลือก็รอผลสอบ มหาลัยบอกว่าจะแจ้งทางไปรษณีย์ จริงๆก็ลุ้นอยู่นะ ถึงจะไม่มีเกณฑ์คะแนนผ่าน แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้สอบภาษาอังกฤษนานแล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าความสามารถตัวเองเป็นยังไงบ้าง

เว็บชื่อสีภาษาญี่ปุ่น และเล่าเรื่องทั่วๆไปในช่วงนี้

เมื่อวาน

พี่ อ. ซามะ (พี่ล่ามที่บ.) “赤錆 นี่อะไรวะ”
เรา “red rust ไง ถ้าที่เจอใน QA ก็มี red rust, white rust สนิมแดง สนิมขาว”
พี่ อ. “ทาสีเครื่องจักรสีนี้อ่ะนะ”
เรา “อ่าว เรื่อง painting เหรอ งั้นรอแพพ น้องมีเว็บจะนำเสนอ นี่เลยยยยย
https://www.colordic.org/w
มันเป็นเว็บชื่อสีของญี่ปุ่นอ่ะ ไม่มีแปลอังกฤษหรอก แต่มีชื่อสีกับโค้ดสี (เรียกว่าไร แพนโทน หรือพาเล็ท?)”

พี่ อ. scroll mouse อย่างเมามัน…
เรา “พี่กด Ctrl+F ซี่ Ctrl+F เธอนี่มันคน analog จริงจริ๊งงงง”
พี่ อ. “ช่ายยยยย”
แต่ก็หาไม่เจอ สุดท้ายก็ยอมกดตามที่บอก
เรา “แล้วพี่ก็พิมพ์ 赤錆 แล้ว กด Enter”

นั่นนนน อยู่ตรงหน้าเลยยย แต่หาไม่เจอกันเอง

พี่ อ. “นี่กุตาบอดไปแล้วป่าววะ? ไม่รู้แม่งละ สี red rust นี่แหละ”

หลังจากนั้นก็โวยวายเรื่อง search google แล้วมันเดาคำให้เอง ไม่อยากให้มันมาเดา มันเดาผิด!

นี่ก็บอกว่าน่าจะไม่ได้เป็นที่ google แต่คงอยู่ใน keyboard setting

เด๋วไปหาในคอมตัวเองแล้วมาบอก
หาแปบเดียวก็เจอแล้วแหละ พอดีพี่ อ. ลุกไปแปล นี่ก็นั่งสวมรอยที่คอมเค้า (ถือวิสาสะมาก 555 แต่กับพี่อ. คือรู้ๆกัน ไม่เป็นไร ทำเลย) ก็ปิดฟังก์ชั่นนี้ให้ จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่อารมณ์ประมาณ auto-correction แหละ

เอาเว็บชื่อสีของญี่ปุ่นไปแชร์ต่อให้พี่ น. ที่เค้ามีลูก เผื่อเอาสอนภาษาญี่ปุ่นลูกสนุกๆ จำได้ก็ไม่รุ้มีประโยชน์อะไรมั้ย 555 แต่เราชอบนะ เวลาทำ CSS สนุกดี ถ้าอยากเลือกสีเล่นก็แนะนำเว็บ Coolers เลย!

วันนี้

วันก่อนโน้น WFH แล้วคอมมีปัญหา เลยต้องใช้ไอแพดทำงานแทนไปก่อน แล้วก็พบว่าการเอา Apple Pencil จิ้มแทนเม้าส์ มันช่างไม่ถนัดเอาซะเลย ตอนจะคลิกขวาก็แบบเห้ยแล้วต้องทำไง งงแล้วหนึ่ง

ไปดูรีวิวที่มีป้ายยามา จริงๆเราเล็งคีย์บอร์ด K480 ของ ​Logitech มานานแล้ว ก็เลยซื้อพร้อมเม้าส์ Pebble M350 ไปด้วยเลย

ซื้อตอนวันเกิด Logitech เลยได้ coin คืนนิดหน่อย กับมีของแถมเป็นถุงผ้า

จริงๆเรามีคีย์บอร์ดบลูทูธ อันเบาๆ ที่แปะติดกับเคสได้อยู่แล้ว แต่สัมผัสเวลาพิมพ์มันไม่ค่อยสนุก คือก็พอทำงานได้ แต่พิมพ์ไม่มันส์

พอแกะกล่องคีย์บอร์ดใหม่ที่ซื้อมา ใหญ่จริง หนักจิง คงไม่พกไปข้างนอกอ่ะถ้าไม่จำเป็น ถ้าต้องพกไปด้วยจริงๆ คงใช้คีย์บอร์ดอันเดิมเเพราะมันเบาดี แต่ชอบสัมผัสตอนพิมพ์กับดีไซน์นะ มันน่ารักดี

พอจับคู่กับเม้าส์แล้วก็รู้สึกว่าสามารถใช้ไอแพดทำงานได้สะดวกดี แต่ถ้าอยู่บ้านอาจจะชอบใช้คอมมากกว่า เพราะจอใหญ่กว่า ยกเว้นแต่ว่าทำงานเล็กๆน้อยๆ ทำไม่นานก็อาจจะใช้เซ็ตนี้ หรือบางทีคิดอะไรออกอยากเขียนบล็อกแต่ขี้เกียจเปิดคอมก็เหมาะสมดี

ฝันไว้ว่าอยากลอง WFH แล้วไป staycation แหม ทำยังกับจะได้ไป (จริงๆบ.เรากฎคือ WFH แต่ถ้าจำเป็นเรียกให้เข้าบ. ต้องมาได้)

วันนี้คุยกับพี่ อ. ซามะ พี่เค้าถามว่า “แกรู้จักจ๊อกเครื่องมั้ย จ๊อกๆ”
พซ “ไม่เคยได้ยินอ่ะ”
พี่ อ. “มันคือ 微調整 ปรับเครื่อง ปรับพารามิเตอร์ (จริงๆพี่เค้าอธิบายมายาวกว่านี้ แต่ใกล้เลิกงานแล้วเราจำไม่ได้แล้ว สมงสมองไปหมด) บอกไว้เผื่ออาจจะได้เจอเร็วๆนี้”
นี่ก็เอาไปถามเอ็นจิเนียในแผนกว่ารู้จักจ๊อกเครื่องมั้ย ก็มีคนหนึ่งตอบได้ ก็คือ ม. นี่ก็แบบ เห้ยเธอเก่งอ่ะ
กลับบ้านมา ม.ทักมา คือตอนแรกเข้าใจกันว่าเป็นภาษาช่าง ตั้งกันเอง บิด knob แล้วมีเสียงจ๊อกๆ รึเปล่า ไม่ใช่นะ มันคือคำทั่วไป Jog the servo motor อะไรแบบนี้เลย

พี่ อ. ถามต่ออีกว่า แล้วรู้จักเม็ดมีด กับ ป้อมมีดมั้ย

เอาแล้วมีอิป้อม แล้วอิตู่จะมามั้ย อิแป้งล่ะว่าไง

เม็ดมีดเรารู้ มันคือ insert ส่วนป้อมมีดไม่รู้ ขอเดาว่า Holder ซึ่งก็เดาถูก

วันนี้ประชุมยาว 2 ชั่วโมง ที่ว่ายาวเพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเจอประชุมเดียวยาวๆเท่าไหร่ (ลุงหัวหน้าเราไม่ชอบให้นัดประชุมนานๆ ลุงบอกชั่วโมงเดียวก็พอ)

แล้วคือแร็พมากกกกกกก ยิ่งช่วงญี่ปุ่นคุยกันเอง แม่งไม่มีใครเว้นวรรคให้แปลเลยจ้า
นี่ก็จดไปเรื่อยๆ อยากคุยคุยไปเลย ไม่ห้าม ไม่เบรคละ กุเหน่ยจ้าาาาา

สุดท้ายจดได้ 4 หน้า A4 อ่ะ พอได้จังหวะก็ขอแปลรัวแบบม้วนเดียวจบ มีแอบหอบตอนท้ายนิดหน่อย แปลจบน้องเอ็นจิเนียชูนิ้วโป้งให้เลย

แถมเจอความงงงวยในการอธิบายของพี่คนไทย พูดถึงเรื่องเครื่อง Sorting งาน อารมณ์ประมาณเครื่องคัดไซส์ไข่ไก่ พี่แกก็พูดถึงช่อง นี่ก็ไม่เคยเห็นเครื่องก็ช่องๆ ช่องอะไร งง

คุยไปคุยมาพี่แกบอกว่าเดี๋ยวผมเข้าไปดูอีกที

ฉัน “เข้าไปในเครื่องจักรเหรอคะ?”

ทุกคนหัวเราะออกมา

จริงๆเราก็รู้แหละ ว่าพี่เค้าหมายถึงเข้าไปดูเครื่องจักรจริงที่ Supplier อีกที แต่นี่ก็จงใจแกล้งเค้านิดหน่อย ตลกดี