คุ้ยกระเป๋าล่าม: รวมสุดยอดไอเท็มเด็ดที่ล่ามแนะนำว่าควรมีติดตัวไว้

สวัสดีค่ะ หลังๆมาไม่ค่อยได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับงานล่าม เพราะเริ่มหมดมุกนั่นเอง

เราเป็นล่ามในบริษัท ซึ่งก็อยู่บริษัทเดิมมาหลายปีแล้ว (และยังไม่คิดจะเปลี่ยนงาน ถ้าเขายังไม่ไล่ออก)

ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรมาอัพเดตมากนัก เพราะยังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ

บางทีมันก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าได้ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ส่วนมากมักจะเป็นประสบการณ์ที่เราเจอในแต่ละวันมากกว่า ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะอาจจะไม่มีใครเจอสถานการณ์เหมือนเรา

ช่วงนี้ก็เลยเป็นช่วงที่กำลังเรียนรู้ความรู้รอบตัวจากวงการอื่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นข่าวงานสัมมนาล่ามบนหน้าฟีด ฟรีด้วย รีบกดเลย กลัวเต็ม

สารภาพตามตรงว่าแทบไม่ได้อ่านรายละเอียด เห็นของฟรีก็กระโจนเข้าใส่เลย เป็นคนยังไงนี่รู้เลยนะ 555

แล้วก็บันทึกไว้ในปฏิทินในมือถือ แต่ดันลืมตั้งแจ้งเตือน ก็เลยลืมไปเลยว่ามีสัมมนาในวันนี้

แล้วเมื่อคืนรุ่นพี่สมัยมหาลัยทักมาว่า “ใส่ชุดนักเรียนกันมั้ยวันนี้”

ฉัน “อยากบอกว่า แว้บแรกคิดดีไม่ได้เลย ขอโทษ น้องใจบาป 5555”

จริงๆเรื่องของเรื่องมันมาจาก ที่มีผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษา(?) สักคนแนะนำว่านักเรียนควรใส่ชุดนักเรียนเรียนออนไลน์

เอ่อ… บางทีถ้าแนะนำอะไรที่มัน…. ก็เงียบไปเลยเสียยังจะดีกว่า

สุภาษิตไทยก็มี พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

มีอันหนึ่งที่เราเคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้ว่าอ่านมาจากไหน “บางครั้งสิ่งที่แทนความฉลาดได้ดีที่สุดก็คือความเงียบ”

อีกอันที๋ฮาร์ดคอร์นิดนึงก็ “ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้นะว่าโง่อ่ะ” 55555555555

ก็เลยมีคนทำฟิลเตอร์ชุดนักเรียนมาให้ใส่ในแอพ

วิธีเล่นก็ง่ายๆ ไปโหลดแอพ Snap Camera มาก่อน

โหลดได้ที่นี่ https://snapcamera.snapchat.com/

ติดตั้งและใช้งาน เวลาจะเล่นก็เลือก device ให้ภาพวิดีโอมาจาก Snap Camera เสิร์ชฟิลเตอร์ว่า “school uniform”

ดูรายละเอียดได้ตามด้านล่างนี้เลย

เมื่อคืนเราเล่นใส่ชุดนักเรียนคอซอง แล้วตั้ง Virtual Background เป็นห้องปกครอง

ส่วนรุ่นพี่เราเลือกชุดนักเรียนคอนแวนต์ แล้วก็ถักเปียให้เข้ากับชุด

ไม่อยากบอกเลยว่าเราสองคนอายุเท่าไหร่ และกำลังเรียนหรือทำงานอะไรอยู่ 5555

แต่มันตลกกกกก สนุกมาก

ตอนเด็กๆพี่เค้าน่าจะเป็นเด็กเรียบร้อย โตมาก็เล่นใส่ฟิลเตอร์ชุดนักเรียน แล้วดื่มเบียร์

ก็คุยกันจนดึกอยู่นะ ประมาณตีหนึ่ง แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน

นี่ตื่นมาก็สายชิว เพิ่งสั่งซื้อเครื่องบดกาแฟมาใหม่ ก็แกะกล่อง ลองเลย นั่งกินข้าวเช้าชิวๆ ชงกาแฟดริป

มาดูมือถืออีกทีตอนสิบโมง เห็นเมลล์ส่งมาตอนเก้าโมงครึ่ง แจ้งเปลี่ยนลิงค์ Zoom Meeting สำหรับงานสัมมนา แปลให้ “ว้าว” เพื่อก้าวสู่อาชีพนักแปลและล่าม

นี่ก็รีบพุ่งไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วสูงสุด แล้วก็กดเข้าร่วมประชุม มาไม่ทันวิทยากรท่านแรก (หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ววววว)

ตอนเรียนนี่ไม่เคยมีแฮงค์แล้วไปเรียนไม่ไหวเลยนะ มีแต่ตื่นสายเอง คลาสแปดโมงไปไม่ทันไรงี้

พอมาเป็นผู้ใหญ่ มีเรียนออนไลน์ เนี่ย ลืมเลย ลืมสนิทเลย

เข้าใจเลยว่าเด็กสมัยนี้ที่ต้องเรียนในยุคโควิด ต่อให้อุปกรณ์พร้อม ก็ลำบากอยู่ดี แล้วประเทศนี้มีครอบครัวที่ไม่ได้มีเงินพอซื้ออุปกรณ์เท่าไหร่ มีเด็กกี่คนที่ถูกทิ้งไว้ในสถานการณ์นี้ นี่เป็นปัญหาที่กระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งแก้ไข ดีกว่าการทำหลักสูตรวกไปวนมาหาสาระไม่ได้ แถมสอนให้หมอบกราบรึเปล่า?

เอาล่ะ กลับมาที่สัมมนาของเราต่อ ก่อนที่จะหัวร้อนไปมากกว่านี้

ครึ่งเช้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานแปล ส่วนครึ่งบ่ายเป็นเรื่องงานล่าม

สำหรับเรา ครึ่งบ่ายสนุกมากกกก ตรงกับสายงานด้วยแหละมั้ง

ด้วยความที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะ อาจจะค่อยๆหยิบมาเล่าในบล็อกเป็นตอนย่อยๆไป

เราอ่านหนังสือมาว่า การฝึกเขียนหรือเล่าให้คนอื่นฟังเป็นการฝึกขา output ซึ่งจะทำให้เราเก่งเร็วขึ้น

เนื้อหาแน่นมาก สนุก และเป็นประโยชน์มากๆ เราจะทยอยมาสรุปให้ฟังเป็นตอนๆไป

วันนี้เค้าสาธิตการแปลแบบพูดพร้อม ผ่านฟังก์ชั่น interpretation ในแอพ zoom ให้ดูด้วย

คุณล่ามโอ แปลคลิปนี้ให้เราฟังแบบสดๆ แบบแปลพูดพร้อม แล้วคือแปลดีมาก มีการเปลี่ยนเสียงให้เข้ากับบทพูด คุณโอบอกว่า ล่ามต้องเป็นนักแสดงด้วย

ส่วนนี่เป็นอีกคลิปที่เราไปเจอมา มีซับไตเติลภาษาอังกฤษ ตัวใหญ่ๆ แปะเอาไว้ เอาไว้เช็ค ว่าเราฟังถูกมั้ย 5555+

ช่วงท้ายของการสัมมนา จะมีช่วง คุ้ยกระเป๋าล่าม ก็คือมาดูกันว่าล่ามแต่ละคนพกอะไรไปทำงานบ้าง

ต้องเกริ่นก่อนว่าวิทยากรวันนี้เป็นล่ามที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และก็รับงานล่ามตู้ ซึ่งเป็นงานที่เราไม่เคยมีโอกาสได้ทำ และถ้าม๊โอกาสเข้ามา ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะกล้ารับรึเปล่า

แต่ตอนนี้โควิด งานล่ามตู้ก็เลยน่าจะน้อยลงเยอะ เปลี่ยนมาเป็นล่ามแปลประชุมออนไลน์แทน ก็คือไม่เป็นตู้แล้ว นั่งแปลอยู่ที่้บ้านนี่แหละ (มีล่ามท่านหนึ่งเคยแปลในรถด้วย ว้าวซ่า โมบายออฟฟิศ)

ถ้าเป็นแบบนี้เราอาจจะมีความกล้าขึ้นมาบ้าง เพราะที่ทำงานปัจจุบันก็แปลประชุมที่เป็น Conference เป็นปกติอยู่แล้ว (ส่วนใหญ่จะเป็น Voice บ่อยมากระดับช่วงพีคๆคือ 4-5 ครั้ง/สัปดาห์ วิดีโอนี่นานๆที)

เราเป็นล่ามในโรงงาน ก็เลยไม่ได้พกอะไรมากนัก ก็จะเป็นของใช้ในออฟฟิศทั่วไป แต่ัวนนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง ว่าล่ามมืออาชีพ (น่าจะแปลในตู้) เวลาที่เค้าไปทำงาน เค้าพกอะไรไปบ้าง

  1. กระติกน้ำร้อนส่วนตัว (น้ำร้อนสำคัญมาก)

เค้าให้เหตุผลว่าบางทีเราก็ไม่รู้ว่าหน้างานจะมีน้ำให้มั้ย หรือแก้วน้ำจะสะอาดรึเปล่า เพื่อความมั่นใจ ก็พกกระติกน้ำส่วนตัวไปเลย

อันนี้ก็เห็นด้วย ต่อให้ไม่ใช่ล่าม แต่การพกแก้วน้ำส่วนตัว กระติกน้ำส่วนตัวไปใช้ ก็ช่วยลดการซื้อ ลดการใช้พลาสติก ช่วยลดโลกร้อนได้อีก เชียร์ให้พกมากๆเลย

2. Post-it

เอาไว้จด เวลาแปลแบบล่ามสองคนคู่กัน ก็จดโน้ตส่งให้คู่ล่าม

3. ปากกา

อันนี้แน่นอน ของมันต้องมี วันไหนไม่มีน่าจะทำงานลำบาก บางคนอาจจะถึงขั้นทำไม่ได้

ส่วนตัวเราใช้ดินสอ เคยโพสไปว่าช่วงหลังๆบ้าซื้อดินสอกด เราใช้ Pentel Graph 1000 for pro จดก็ดี วาดรูปก็ได้

แต่ปากกาก็ต้องพกเหมือนกัน เพราะบางสถานที่อย่างในห้องคลีนรูม เค้าไม่ให้ใช้ดินสอ ไส้ดินสอกดอาจจะหัก หล่นลงไปในงาน กลายเป็น contamination ได้

ปากกาเราชอบใช้ปากกาหมึกซึมหัวเล็กๆ จดแล้วลายมือสวยดี (ปกติลายมือแย้แย่)

อีกอันที่ใช้แล้วชอบคือ uni jetstream 3&1 ปากกา 3 สี มีแกนดินสอกดให้ในตัว เปลี่ยนไส้ได้ เขียนลื่นมาก

จริงๆ uni ด้ามถูกๆก็เขียนลื่นนะ

4. ยาดม

อันนี้ก็ของมันต้องมี อุปกรณ์เรียกสติ 5555

อันนี้ก็อุปกรณ์โปรดเรา แรกๆก็ใช้ยี่ห้อมาตรฐานในไทย แต่มีช่วงหนึ่งได้ไปแปลที่ต่างประเทศ (มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย) ก็แวะร้านยาไปซื้อมา ชอบยี่ห้อ วิคส์ (อันเดียวกับวิคส์ทาแก้หวัดแหละ แต่เป็นยาดม)

อีกอันที่ชอบคือยาดมสมุนไพรที่ทำในบริษัทนี่แหละ ช่วงสงกรานต์มีกิจกรรมจากแผนกสิ่งแวดล้อม ทำยาดมฝากพ่อแก่แม่แก่ นี่จะทำไปฝากแม่ ทำตอนเที่ยง แต่เราเบรคไม่ตรงกับหน้างาน ก็จะกินเวลางานไป 15 นาที ก็ขอหัวหน้าว่าจะไปทำยาดม ลุงบอกว่าขอดมดูหน่อยนะถ้าทำแล้ว เดินขึ้นออฟฟิศมา ก็ยื่นให้ดม ลุงก็ยึดไปเลย อะไรว้าาาา

ดีนะวันนั้นได้มา 6 อัน

5.หูฟัง มือถือ สายชาร์จ

เมื่อก่อนอาจจะพกแค่มือถือกับสายชาร์จ แต่ปัจจุบันการประชุมผ่าน application มีเยอะขึ้ง หูฟังก็เลยเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ ถ้าอันที่ใช้ที่ทำงานเราก็ใช้แบบมีสายธรรมดา (ไว้ใจได้ ไม่กลัวแบตหมด)

บางทีก็ใช้ Bluetooth ตัวเล็กๆบ้าง

จริงๆมีหูฟังแบบครอบหู ของAudio Technica ตัวนึง กับ Sony ตัวที่มี Active Noise Cancelling แต่ไม่กล้าเอาไปใช้ที่ทำงาน มันใหญ่ไป เขินนน

แต่บางแผนก เดินผ่านทีนี่นึกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 555 ก็ New Normal กันไป

จริงๆเราอยากเทสหูฟังที่มี Active Noise Cancelling ในการทำงานมากเลย เพราะถ้าแปลที่โต๊ะ เสียงรบกวนเยอะมาก (เสียงเราก็อาจจะรบกวนคนอื่นด้วย)

ตอนสัมมนาเห็นเค้าโชว์รูปตู้ล่ามสมัยก่อน ที่ไม่ได้เป็นตู้ใหญ่ เป็นตู้เล็ก ครอบแค่ร่างกายท่อนบน เอ้อ เกร๋ๆ ถ้าทำอุปกรณ์กันเสียงแบบครอบแค่ร่างกายท่อนบนตัวเองกับคอมมาใช้ที่ทำงานจะดีมั้ยนะ คนจะหาว่าบ้ารึเปล่า

6. สมุดโน้ต

ใช้จดนัดหมาย จดเวลาแปล บางแบบมี convert ปี พ.ศ. / ค.ศ.

มีหลากหลาย เลือกได้ตามความต้องการ

อันนี้ส่วนตัวเราใช้กระดาษรียูส ใช้เสร็จก็ทำลาย เป็นเครื่องกำจัดกระดาษรียูสประจำแผนก แต่ก็ใช้ตามข้อกำหนดของบริษัทนะ ดรออิ้งไม่ได้ เอกสารที่มีเรื่องเงินๆทองๆไม่ได้

7. กล้องส่องทางไกล

อันนี้สำหรับล่ามตู้ บางทีตู้ล่ามอยู่ท้ายห้องประชุมใหญ่ๆ แบบห้องประชุมในโรงแรม มองสไลด์ไม่เห็น มอง flip chart ไม่เห็น จะวิ่งไปดูแล้ววิ่งกลับมาแปลก็คงไม่อัน

อันนี้เปิดโลกเรามาก ล่ามปกกล้องส่องทางไกล เท่ๆเลย

8. ของกิน

อันนี้เราก็มี จะเป็นพวกคุกกี้ หรือซีเรียลบาร์ มีติดโต๊ะไว้ เติมน้ำตาลเข้าไปหน่อย หรือบางทีต้องแปลประชุมต่อยาวๆ ไม่ได้เบรครอบก่อนโอที ถ้าท้องหิวจะแปลไม่ค่อยออก ก็ได้พวกคุกกี้ ขนมเล็กๆน้อยๆนี่แหละช่วยชีวิต

จริงๆตอนเรียนล่ามอาจจารย์ให้ดูวิดีโอ ล่ามตู้จะพกช็อกโกแลต อีกหนึ่งอุปกรณ์เรียกสติ แต่เราว่าอากาศประเทศไทย ใส่ช็อกโกแลตไว้ในโต๊ะไม่ค่อยเหมาะ เราเลยชอบพวกคุกกี้ หรือซีเรียลบาร์

9. ลูกอมและอุปกรณ์ดับกลิ่นปาก

ประโยชน์สองอย่าง ดับกลิ่นปากด้วย เรียกสติด้วย แบบว่าล่ามตู้ บางทีอยู่กันสองคน ในห้องแคบๆ เรกา็ต้องเซฟเพื่อนร่วมงานกันนิดหนึ่ง

ส่วนล่ามประจำโรงงานอย่างเรา นอกจากลูกอมกับอุปกรณ์ดับกลิ่นปาก ที่โต๊ะเราก็จะมีมีแปรงสีฟัน กับยาสีฟัน แปรงฟันตอนพักเที่ยง

บางทีตอนเช้า ถ้ากินอาหารเช้าที่รู้สึกว่ามันจะมีกลิ่นก็แปรงอีกรอบก่อนเข้างาน

อย่างช่วงนี้ใส่แมส ก็ดมของตัวเองวนไป 555+

จริงๆเรื่องกลิ่นปาก มันจะมีบางคนที่มีหินปูนเกาะต่อมทอนซิล เป็นก้อนๆขาวๆ ที่มันมีวิธีเอาออกอยู่ เค้าว่าเหม็นบรรลัยเลย

อันนี้ก็พยายามอ้าปากดูนะเวลาแปรงฟัน แต่ก็มองไม่เห็น หรือดูผิดตำแหน่งก็ไม่รู้

เอาเป็นว่าสำหรับล่าม เรื่องกลิ่นสำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกก

พี่ล่ามที่ทำงานเก่าเราก็สอน ว่าต้องคอยดูแลสุขภาพปากและฟันให้ดี

ลูกอมนี่แล้วแต่ชอบ วันนี้ในสัมมนา มีคนแนะนำยี่ห้อสหายเพื่อนนักตกปลา อันนั้นเราก็ชอบ

แต่จริงๆถ้าไปญี่ปุ่นเอง หรือลุงกลับบ้านประจำปี แกก็จะซื้อมิ้นเตี้ยมาฝาก เราชอบมิ้นเตี้ยมากกว่าสหายเพื่อนนักตกปลา เพราะเม็ดเล็ก อมหมดเร็ว อมแล้วแปลต่อได้เนียนๆ ไม่กลัวติดคอ

มีคนแนะนำกำกิกเผี่ยงมาด้วย อันนี้ก็ดีเวลาเจ็บคอ แต่บางคนอมมากๆก็ลิ้นชา ตัวนี้เราจะใช้เฉพาะเวลาป่วย

แต่ทั่วไปก็สหายเพื่อนนักตกปลา มิ้นเตี้ย หรือลูกอมกลิ่นมิ้นท์ (ความชอบส่วนตัว ชอบฮิตโต้กับไดนาไมต์ เป็นคนชอบไอติมช็อคมิ้นท์)

10. ปากกาไวท์บอร์ด – บางทีเวลาแปล แล้วอาจจะต้องวิ่งไปเขียนบอร์ด จะได้มีปากกาส่วนตัว ไม่ต้องมาคอยหา

นี่อยู่ในโรงงาน มีปากกาที่ไวท์บอร์ดทุกอันอยู่แล้ว แต่บางทีก็อาจจะเจออันที่เขียนไม่ติด คิดว่าถ้าพกไว้บ้างก็จะดูพร้อมกับสถานการณ์ แต่อันนี้เราไม่ได้พก เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่ทำงานค่อนข้างมีใช้แบบไม่ขาดแคลน แต่ถ้าเป็นฟรีแลนซ์ เราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรบ้าง พกไว้ก็ดูมีประโยชน์ดี

11. ช้อนส้อมส่วนตัว – อันนี้ก็คิดว่าดีมาก เพราะบางที เราอาจจะได้มาแค่ข้าวกล่อง ไม่ได้ช้อน เพื่อป้องกันการใช้มือกิน พกช้อนส้อมส่วนตัว หรือช้อนส้อมพลาสติกติดตัวไว้ ก็สบายใจได้เยอะ

นี่ก็มีช้อนสั้นกับช้อนยาวไว้ที่โต๊ะ บางทีมีคนให้ขนมที่ต้องตักกิน แล้วส่วนมากเราห่อข้าวไปกิน ถ้าวันไหนห่อข้าวไป แต่ลืมเอาช้อนไป ก็ยังมีช้อนสำรองไว้ในลิ้นชักโต๊ะ

12. กระดาษกาว – วิทยากรบอกว่าเอาไว้แปะพวกเอกสาร แปะยึดสายไฟของอุปกรณ์ในตู้ล่ามไม่ให้เกะกะ แปะบังไฟแยงตาในโรงแรม แปะโน้ตส่งให้เพื่อน แบบกระดาษกาวถูกๆ กาวธรรมดา ไม่เหนียว ไม่ทิ้งรอย ไม่โดนโรงแรมด่า เอ้อ เริ่ดอยู่นะ

13. พัดลมส่วนตัว – บางทีในตู้ล่าม มันร้อน ไม่มีลม มีแต่พัดลมดูอากาศออก การพกพัดลมส่วนตัวเอาไว้ก็ช่วยเซฟชีวิตเราและเพื่อนร่วมงานได้

สำหรับเราที่เป็นล่ามโรงงาน ก็มีพัดลมอยู่ที่โต๊ะ (พักเที่ยงเขาปิดแอร์ไง) กับมีพัดแบบแมนนวล ชอบแบบพับ บางๆ เบาๆ ใส่กระเป๋าเสื้อลงไปหน้างานด้วย วันไหนร้อนๆก็ช่วยได้เยอะ

ปล. แถมท้ายนิดหน่อย เราจะค่อนๆทยอยมาเล่าแหละ แต่มีเรื่องนึงที่ติดอยุ่ในใจ คือช่วงบ่าย วิทยากรคนแรกคืออาจารย์อัครินทร์ สถิตย์พัฒนพันธ์

เค้ามาเล่าภาพรวมเกี่ยวกับงานล่ามให้ฟัง แล้วเป็น 30 นาทีที่เล่าได้สนุก ฟังเพลิน ไหลลิ่นไม่มีสะดุด เสียงน่าฟัง อุปกรณ์น่าสนใจ เค้าเล่าผ่านหนังเกี่ยวกับล่ามแหละ เราเคยดูแค่ The Interpreter

อีกอันที่เหมือนนักรบโรมัน ฆ่าล่ามก่อน (แกลดดิเอเตอร์เหรอ? หรือ 300? อันนี้ผ่านๆตา แต่ไม่ได้ติดอะไรเรื่องล่าม)

แต่ที่สะดุดคือ หนังเกี่ยวกับล่าม ต้องไปแปลภาษาเอเลี่ยน ว้าวซ่า อยากรู้เลยว่าเรื่องอะไร ก็เลยไปเสิร์ชมา เก็บเข้าลิสต์แล้ว อยากดูเลย

ลิงค์แหล่งข้อมูลที่น่าสนใจ น่าไปอ่านต่อ หลังจากฟังสัมมนาวันนี้

https://www.prettycat.co/ บล็อกว่าด้วยโปรแกรมช่วยแปลและเทคโนโลยีการแปล

[บันทึกหลังอ่าน] มหาสมุด

มหาสมุด – วันเฉลิม วัฒนวรกิจกุล
นวนิยายเข้ารอบ รางวัลนายอินทร์อะวอร์ด

พักหลังๆไม่ค่อยได้อ่านนิยายเท่าไหร่ อ่านแต่หนังสือเรียนกับหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง ซึ่งไม่ถูกจริตเอาเสียเลย สำหรับเรา หนังสือพัฒนาตัวเองก็เหมือนหนังสือเรียน

นั่นก็คือ… หลับสบายเลยยยยย 55555

แค่ถ้าเป็นนิยายเราอ่านได้ค่อนข้างเร็วอยู่แล้ว นี่ก็ใช้เวลาหลังเลิกงาน อ่านรวดเดียวจบ

อ่านแล้วก็คิดถึงตอนตัวเองเด็กๆ ที่ชอบยืมหนังสือมาเยอะๆ แล้วก็นั่งอ่านนอนอ่านอยู่อย่างนั้น จนช่วงใกล้สอบแม่แทบจะเอาหนังสือที่ยืมมาไปซ่อน แต่ทนเราโวยวายไม่ไหว 555555

หนังสือเป็นเรื่องของหญิงสาวผู้ลาออกจากงาน สมัครงานอยู่หลายที่ สุดท้ายก็ได้งานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดของมหาลัยเอกชน ทั้งๆที่เป็นคนอ่านหนังสือได้ไม่เกินสามบรรทัด

การทำงานที่ไม่ชอบทำให้ได้พบเจอเพื่อนใหม่ โลกใบใหม่ และได้เจอผู้คนที่กลายเป็นความสบายใจ

ทั้งๆที่ปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ได้แล้วแท้ๆ แต่ห้องสมุดกำลังจะถูกปิดเพราะผู้บริหารมหาลัยต้องการนำพื้นที่ไปทำอย่างอื่น

หนังสือพิมพ์เมื่อปี 2555 ก็ผ่านมา 6 ปีแล้วล่ะ

ปัจจุบันความนิยมในการใช้งาน e-reader หรือการอ่านหนังสือในรูปแบบของ e-books ก็เพิ่มมากขึ้น

เรายังซื้อ kindle เลยแล้วก็ชอบด้วย แต่บางทีก็อ่านในไอแพด เพราะแอพที่ใช้อ่านหนังสือบางค่ายมีในไอแพด แแต่ใน kindle ก็จะอ่านได้เฉพาะหนังสือที่มีบนสโตร์ของตัวเอง หรือบางทีก็แปลงไฟล์ pdf ที่มีอยู่แล้วใส่เครื่องแล้วอ่านแนวนอนเอา

สำหรับเรา kindle เอาไว้เข้าถึงหนังสือภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ, ญี่ปุ่น แต่เอาจริงๆก็อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศไม่จบสักเล่ม อ่านแต่ภาษาไทยอ่ะ

แต่เราชอบใช้ kindle โหลดตัวอย่างหนังสือภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุนมาอ่าน เพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อฉบับแปลไทยดีรึเปล่า

ส่วนใหญ่ที่ใช้ kindle น่าจะใช้กดสั่งการ์ตูนภาษาญี่ปุ่น แต่หลังๆก็ชอบเปิดในไอแพดเพราะจอใหญ่กว่า แต่จะให้ไปซื้อ e-reader ที่ใช้ e-ink แบบ kindle แต่จอใหญ่กว่าก็รู้สึกว่าจะแพงเกินไป

ซื้อมาด้วยความหวังว่าสักวันตัวเองจะอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาอังกฤษมากขึ้น แต่ทำยังไม่ได้ 55555

เอาง่ายๆแค่กองดองภาษาไทยก็ 100++ แล้ว ตอนแรกบอกกับตัวเองว่าถึงร้อยเล่มจะเลิกซื้อ แต่มันหยุดไม่ได้จริงๆ ซื้อมาไว้แล้วยังไม่ได้อ่าน ดีกว่าอยากอ่านแล้วหาซื้อไม่ได้

ไม่เกี่ยวอะไรกับนิยายที่เพิ่งอ่านไปเลยแฮะ แต่มีตัวละครตัวนึงเป็นยัยคนสวยที่รักหนังสือจนโอเว่อร์และชอบใช้กำลังถ้ามีคนไม่เคารพหนังสือ ก็คิดว่าเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ดีนะ

ไม่ใช่นิยายรัก ไม่มีเรื่องความรักเลย เป็นเรื่องของคนที่มาเจอกัน มาเติมเต็มในส่วนที่ขาด โดยมีฉากเป็นห้องสมุดของมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง

พิมพ์ หญิงสาวผู้เปลี่ยนงานบ่อย อ่านหนังสือเกินสามบรรทัดไม่ได้ แน่นอนว่าทำงานในห้องสมุดได้ไม่ดีนัก

มาเจอกับแอน หญิงสาวผู้รักหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ

เจอกันวันแรกแอนก็ตบพิมพ์เต็มแรง โทษฐานเหยียบหนังสือในห้องสมุด

แต่พอเวบาผ่านไปเรื่อยๆ สองคนที่โคตรแตกต่าง ก็เรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนกัน

ถึงแม้พิมพ์จะยังทำงานไม่เก่ง แต่แอนก็คิยช่วยอยู่เสมอ (ถึงคำพูดคำจาของยัยคนสวยจะน่าหมั่นไส้ก็เถอะ)

วันนี้ไปอ่านบทความใน medium มา เจอคาถามือใหม่

“ฉันกำลังเรียนรู้” เอ้อ เป็นคำง่ายๆที่เราชอบนะ ถ้าทำอะไรผิดพลาดไป เรากำลังเรียนรู้อยู่ เราจะทำให้ดี จะแสดงให้ดู

หนังสือเรื่องนี้ก็สะท้อนความพยายามนั้นของพิมพ์ออกมาให้เห็นได้ดี

บางทีเราก็ต้องยอมรับว่าเรานั้นไม่เก่ง เต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมาย ต้องยอมรับก่อนเพื่อนจะขัดเกลาตัวเองให้เก่งขึ้น

ในบางสถานการณ์เราอาจจะเป็นคนที่เก่งกว่า แต่เราควรใจดีและมีน้ำใจกับมือใหม่

ตอนเด็กเราไม่เข้าใจสติ๊กเกอร์มือใหม่หัดขับ เราคิดแค่ว่า ติดสติ๊กเกอร์แบบนี้ก็ยิ่งสะดุดตา เดี๋ยวก็โดนแกล้งเอาหรอก แต่พอโตมาเราก็ได้รู้ว่า ถ้าคนอื่นรู้ว่าเรามือใหม่ คนส่วนใหญ่ก็จะใจดีนะ ต่อไปถ้าเจอเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ ถ้าเป็รมือใหม่ ก็จะทำตัวเป็นมือใหม่ที่ดี ถ้าเป็นคนที่เก่งกว่าในเรื่องไหน ก็จะพยายามใจดีกับมือใหม่เข้าไว้

เราว่าเรื่องนี้สนุกนะ ซื้อมาจากกองหนังสือลดราคาในเว็บ แล้วก็รู้สึกว่าก็อ่านสนุกดี
เพราะเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ชอบห้องสมุดอยู่แล้วด้วยแหละมั้ง แต่หลังๆไม่ได้เข้าเลย โควิดเอยอะไรเอย

จริงๆเคยเป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน(แต่บัตรหมดอายุไปแล้ว) ค่าสมาชิกสิบบาท ยืมได้ครั้งละสี่เล่ม อาจจะเก่าหน่อย แถมร้อน มีแอร์แต่ไม่เปิด (เข้าใจแหละว่าเซฟค่าไฟ) ก็เหมือนห้องสมุดประชาชนทั่วไป แต่เราก็ชอบบรรยากาศที่นั่นนะ

ยังคิดอยู่เลยว่าอยากไปสมัครเป็นบรรณารักษ์วันเสาร์อาทิตย์ แต่กลัวไปเพิ่มภาระเขา เราเคยเรียนระบบดิวอี้มานิดหน่อย แต่จำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าจะบอกว่าชอบกลิ่นกระดาษ กลิ่นหนังสือ ก็เคยอ่านเจอมาว่าจริงๆมันคือกลิ่นเชื้อราแหละ (แหวะ)

ตอนนี้ก็เลยทำได้แค่สะสมหนังสือของตัวเอง

เพิ่งคืนหนังสือที่ยืมเพื่อนมา ตอนเอาไปคืนเพื่อนบอกว่า ก็เยอะอยู่นะ คือยืมไปหลายเล่ม แล้วอ่านจริงๆ

อ่านอะไรต่อดี…. (จริงๆเราก็ยังไม่ได้อ่าน แต่เป็นชื่อหนังสือที่นึกออกแล้วคิดว่าน่าอ่านต่อ)
ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ
หลากเเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ

แต่จริงๆเราคงไม่ได้อ่านตามลิสต์นี้ อาจจะต้องอ่านพวกแนวพัฒนาตัวเองต่อไป เอาไปช่วย user คิด เวลาทำเอกสารพรีเซ้นต์สอบเลื่อนตำแหน่ง เอาไปเป็นแนวคิดเวลา Q&A เอาจริงๆคือเสือกมาก ไม่ใช่หน้าที่ล่ามเลย แต่ต้องขอบคุณ user ที่ยินดีรับฟัง พี่คนหนึ่งที่เราแปลให้ก็บอกว่าได้ไอเดียจากเราเยอะอยู่ ถ้าอยู่บ้านใกล้ๆคืนนี้ต้องมี drink-drunk กันแล้ว

ด้วยความเค้าเป็นคุณแม่ลูกสอง มีลูกสาวสองคน ลูกสาวคนโตชอบวาดรูป ก็เลยเอาเรื่องเราไปเล่า น้องก็ดูจะสนใจว่าเราทำอะไร แม่เค้าก็เลือกเล่าแต่สิ่งดีๆ ดีเกินจริง ดูเป็นไอดอลของเด็กอยู่นิดหน่อย

แง… อยากบอกว่า น้องงงงง หนีไปปปปป อย่าโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ 555555555

[บันทึกหลังอ่าน] เศรษฐพิลึก Freakonomics

เศรษฐพิลึก Freakonomics


เล่มสุดท้ายของการยืมเพื่อนมาอ่านอันยาวนาน 5555

ช่วงหลังๆนี่เริ่มสนใจอ่านอะไรที่ไม่ใช่นิยายมากขึ้น (แต่ก็ยังชอบซื้อนิยายเหมือนเดิม)

เราเริ่มวางแผนเกษียณแล้ว ก็เลยเริ่มศึกษาเรื่องการออม/ลงทุน(เพิ่งเริ่มเลย ถือว่าเริ่มช้าไปหน่อย แถมยังไม่ค่อยกล้าเสี่ยงอีก)

จริงๆเป็นคนใช้น้อยเมื่อเทียบกับรายรับ จะว่างกก็ยอมรับ ด้วยการเลี้ยงดู ด้วยอะไรหลายๆอย่าง

แม่ชอบบ่นเรื่องซื้อหนังสืออยู่นะ ทั้งๆที่เป็นของที่เราชอบมากๆแท้ๆ

แต่เล่มนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการเงินหรอก เป็นข้อมูลเชิงสถิติ กับพฤติกรรมของคนมากกว่า เราว่าก็คล้ายๆกับเหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล ที่มีเพื่อนให้เราเป็นของขวัญวันรับปริญญามั้ง

ตอนอ่านน่ะไม่ได้ชอบ แต่หลายๆเรื่องก็ยังใช้ได้จนทุกวันนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราไม่ค่อยใช้อารมณ์เวลาตัดสินใจ หรือใช้น้อยลงเยอะ

กลับมาพูดถึง Freakonomics บทแรกๆสนุกนะ ว้าวเลยแหละ เรื่องการโกงผลสอบของครูหรือโกงผลการแข่งขันของซูโม่ สมุดบันทึกของคนในแก๊งค้ายา แคร็กโคเคน หรือการรู้ทันนายหน้าขายบ้าน

ที่น่าจะเป็นประโยชน์แล้วคิดว่าจะเอาไปใช้ต่อได้คงเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับสถิติการเกิดอาชญากรรม

เรามีงานที่ต้องทำส่งทดแทนการฝึกอบรมของประสบการณ์วิชาชีพกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการแก้กฎหมายทำแท้งของไทยพอดี เล่มนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า การอนุญาตให้ยุติการตั้งครรภ์ได้โดยถูกกฎหมาย ช่วยลดการเกิดอาชญากรรมได้

แต่บทหลังๆนี่ง่วงไปหน่อย หรือเราง่วงเองก็ไม่รู้ เป็นเรื่องพ่อแม่กับการเลี้ยงลูกน่ะ ก็เลยไม่อินมั้ง

แต่ก็สนใจเรื่องของ Ted Kaczynski อยู่นะ เพราะตอนเด็กๆชอบอ่านนิยายสืบสวน ส่วนพี่ชายที่ตอนเด็กๆอยากเป็นตำรวจของเราก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมดังๆมาเต็มบ้าน นี่ได้เงินมาก็งก ไม่ยอมซื้อ อ่านของพี่ ก็เลยได้อ่านแนวนี้บ่อยมั้ง แต่เรื่องอิลุงพลนี่ไม่น่าสนใจสำหรับเราเลยสักนิด ออกจะน่าขยะแขยงด้วยซ้ำ สื่อเฮงซวย

ดูอะไรต่อดี: ว่าจะไปดู Unabomber ใน Netflix ล่ะ

จริงๆควรจะเริ่มจากวิชา เศรษฐศาสตร์ 101 แต่อ่านเล่มนี้ก็เหมือนอ่านเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจดี

จริงๆในซีรี่ส์ freakonomics เองก็มีอีกหลายเล่ม

คุยกับเพื่อนไว้เรื่องวิชาที่เพิ่งสอบไป ว่ามันมีบทเกี่ยวกับนิติเวช ตอนแรกนี่ก็อ่านไปกลั้นอ้วกจนน้ำตาไหลไป แต่หลังๆก็ชินแล้วล่ะ

พอคุยกันเรื่องความตาย นี่ก็บอกว่าของที่เราแพ้ทาง ก็คือหนังสือ ถ้าเราตายไปโดยยังอ่านหนังสือที่ดองไว้ไม่หมด เราน่าจะตามหนังสือไป แล้วพอมีคนมาเปิดอ่าน เราอ่านหนังสือเร็ว ก็คงพยายามกระซิบ “เปิดหน้าต่อไปสิ เร็วสิ เปิดหน้าต่อไปๆๆๆ”

ให้ตายสิ นี่กะจะน่ารำคาญแม้กระทั่งตอนเป็นวิญญาณเลยเหรอ

เพื่อนบอกพล็อตเรื่องน่าสนใจ ให้เอาไปแต่งนิยาย

อีกเรื่องที่คุยกันคือนี่บอกว่าอยากให้พิธีมันเรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องสวดก็ได้

แต่เพื่อนบอกว่าต้องสวด ไม่งั้นวิญญาณจะไม่รู้ตัวว่าตาย

“เมิง…กุว่าตอนเป็นคนกุก็ไม่ได้โง่อ่ะ ตอนตายกุก็น่าจะรู้มั้ย? จะไม่รู้ขนาดนั้นเลย? แล้วพระก็สวดเป็นบาลี คือกุก็น่าจะฟังไม่ออกอ่ะ”

จริงๆนี่กลัวผีมาก แต่หลังๆมุมมองก็เปลี่ยนไป ล่าสุดเพื่อนก็ถามว่าถ้าเราเจอผีนางรำ เราควรตบมือให้เค้ามั้ย ที่อุตส่าห์มาเปิดการแสดงให้ดู

หรือที่เห็นในทวิตเตอร์วันก่อน ว่าทำไมผีสิงแล้วต้องกรี๊ด ไม่มีผีอินโทรเวิร์ตเหรอ แบบสิงแล้วก็ยกมือไหว้ พี่ค้าบบบ ผมหิวค้าบบบบ ช่วยทำบุญให้ผมหน่อยค้าบบบบ ขอบคุณค้าบบบบ ไรงี้

เอ้อน่ะ จะเขียนถึงหนังสือที่อ่าน เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ทำไมหักมุมมาเป็นเรื่องผี??

ไปดู Unabomber มาตอนนึง น่าสนใจดี

มือระเบิดคือ เท็ด คาสซินสกี้ เป็นคนไอคิวสูงมาก เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ดตั้งแต่อายุ 16 จบด็อกเตอร์ ไปเป็นอาจารย์มหาลัยเพื่อเก็บเงิน ซื้อที่ดินในป่า และกลายเป็นมือระเบิดต่อเนื่องในชื่อ ยูนาบอมเบอร์

มันน่าสนใจตรงที่คาสซินสกี้มองว่าระบบทำให้คนกลายเป็นแค่เฟืองตัวหนึ่งในเครื่องจักรขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมทำลายสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีทำลายมนุษยชาติ เขาเลือกเข้าอยู่ในป่า และก่ออาชญากรรม (คิดว่าน่าจะอยากเปลี่ยนโลก)

เราเพิ่งดูไปตอนเดียวนะ

แต่สงสัยว่า ถ้าคาสซินสกี้ออกจากคุกมาเห็นโลกตอนนี้เขาไม่เป็นบ้าไปเลยเหรอ?

สำหรับคนเกลียดเทคโนโลยี การเห็นโลกที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีตอนนี้ มันอาจจะเป็นโทษทัณฑ์ที่รุนแรงกว่าการจำคุกตลอดชีวิตด้วยซ้ำ

นี่ลองไปอ่านตัวอย่างหนังสือของปีเตอร์ ลินช์มานิดหน่อย ลินช์ก็ไม่ค่อยเก่งเทคโนโลยี แต่ตอนนั้นที่รู้จัก Amazon เพราะซื้อหนังสือมั้ง

เรื่องของคาสซินสกี้ก็เลยเป็นภาพมุมกลับที่น่าสนใจ

มันทำให้เรานึกถึงหนังสือเรื่องนึงที่จำชื่อไม่ได้ แต่ประมาณว่า โลกจะเป็นอย่างไรถ้าตอนนั้นเยอรมันชนะสงคราม

วันก่อนฟัง clubhouse ของคนแต่ง จวบจนสิ้นแสงแดงดาว เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อจนถึงสงครามเย็น เนื้อหาช่วงนี้ค่อนข้างเป็นเนื้อหาวิชาสังคมที่เราชอบตอนเด็กๆ น่าเสียดายที่เราดันพอใจแค่เนื้อหาในหนังสือเรียน

เห็นหนังสือเรียนเด็กสมัยนี้แล้วท้อแท้ใจ คิดว่าระบบการศึกษาตอนนั้นมันแย่แล้วนะ แต่ตอนนี้มันยังแย่ได้อีกอ่ะ เวลาถ้ามีโอกาสจะบอกอะไรเด็กๆได้ก็คงบอกให้ไล่ตามสิ่งที่ตัวเองชอบ มากกว่าจะบอกให้ตั้งใจเรียนล่ะมั้ง

ตอนที่ฟัง clubhouse เค้าเล่าความผิดพลาดของเยอรมันตอนนั้น ประมาณว่าจริงๆเยอรมันกับโซเวียตทำสงครามไม่รบกัน แต่เยอรมันดันไปบุกโซเวียต แล้วโซเวียตก็รบแพ้ตลอด แต่หนีเข้าไปในแผ่นดินเรื่อยๆ เผาหมู่บ้าน ไม่ให้มีเสบียง แล้วสภาพภูมิประเทศที่เลวร้าย ขสดแคลนอาหาร ก็เลยทำให้เยอรมันยึดโซเวียตไม่ได้ แถมเสียกำลังทหารไปมากมาย

หรือเค้าเล่าว่าตอนนั้นฝ่ายอักษะได้เปรียบมากๆ และไทยอยากเข้าร่วมสงคราม แต่ญี่ปุ่นไม่ให้เข้า

เนี่ยฟังเขาเล่ามาแล้วรู้สึกว่า เราเป็นคนที่ปล่อยให้ความชอบมันละลายหายไปง่ายมาก ไม่ได้บอกว่าเชื่อตามเขาเล่านะ แต่แบบ เห้ย ตอนนั้นชอบ ทำไมไม่หาอ่านเพิ่ม ทำไมไม่อ่านให้เยอะๆ

แล้วตอนนี้ทำไมไม่อ่าน…?

ง่วง ไว้ก่อน อยากนอน ซะงั้นน่ะ

[บันทึกหลังอ่าน] The Power of Output ศิลปะแห่งการปล่อยของ

สวัสดีค่ะ วันนี้ 6.6 ปกติจะเป็นวันแห่งการเสียเงิน (เราก็เป็นนะ) แต่หลังจากอ่าน your money your life ที่สอนมุมมองเวลาซื้อของ ว่าเรากำลังเอาพลังชีวิตไปแลก ก็ชักจะติดนิสัยคำนวณว่าถ้าจะซื้อของชิ้นนี้ ต้องทำงานกี่ชั่วโมงกันนะ?

บอกก่อนว่าเราไม่ได้มีมุมมองเป็นลบกับการช็อปปิ้งเลย เงินใครก็คนนั้นก็ควรได้ใช้ เราเองก็มีของที่แพ้ทางอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนมีหลายอย่าง แต่ตอนนี้น่าจะเหลือแค่ดินสอกด กับหนังสือ

จริงๆ 6.6 รอบนี้ก็เล็งดินสอกดไว้ ถึงมีแล้วก็อยากมีเพิ่ม

เราชอบดินสอกด pentel graph 1000 มากๆ ซื้อไว้ทั้ง for pro ที่เป็นสีดำธรรมดา กับ สี limited

ไอ้ต้าวน้อน pentel

สำหรับเราราคาก็แอบแรงนิดหน่อย ไม่ได้ซื้อทีเดียวนะ ต้องค่อยๆทยอยเก็บตอนมีโค้ดลด เวลาใช้ก็ใช้แค่แท่งเดียว แต่เห็นน้องอยู่ด้วยกันมันน่ารักดี

โชคดีที่กดโค้ดไม่ทันเขา พอไม่ลดก็ไม่ซื้อแล้ว (งก) มีเยอะแล้วด้วยแหละ

จริงๆเราชอบทั้ง pentel ทั้งของ pyramid เลย ทั้งๆที่ไม่ได้วาดรูปเก่งอะไร วาดก็วาดง่ายๆ แต่การใช้ดินสอกดที่ชอบมันรู้สึกดีน่ะ

เอาล่ะ เข้าเรื่องดีกว่า จะรีวิวหนังสือ The Power of Output ศิลปะแห่งการปล่อยของ ที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อตะกี้เลย

the power of output

เราสนใจหนังสือเล่มนี้ เพราะ 2 ปีก่อนเราไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วไปร้านหนังสือ Hirakata T-SITE ที่มีมุมถ่ายรูปเป็นชั้นหนังสือสูงๆ เราไม่รู้จักที่นี่มาก่อนเลย แต่ได้ไปเพราะลูกพี่ลูกน้องที่ไปเที่ยวด้วยกัน(ซึ่งไม่ได้อยู่วงการภาษาญี่ปุ่น) อยากไป น้องมันไปรู้มาจากไหนว้าาาา?

ด้วยบรรยากาศร้าน กับเราชอบหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยเดินวนไปวนมา สายตาก็ไปเห็นเล่มนี้ที่เป็นหนังสือออกใหม่ จริงๆก็อยากอ่านเล่มญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ตอนนั้นขี้เกียจแบกก็เลยผ่านไป

หลังจากนั้นเราก็ซื้อคินเดิล ก็คิดๆอยู่ว่าจะซื้อภาษาญี่ปุ่นมาอ่านดีมั้ย กดโหลด sample มาแล้วแต่ก็ไม่อ่านสักที

จนไปเจอเพจรีวิวหนังสือ เขามีรีวิวเล่มนี้ด้วย ประมาณว่าเป็นหนังสือที่อ่านง่าย ก็เลยซื้อมาตามเขา

อืม… อ่านง่ายจริง ง่ายเกินไปจนไม่สนุกสำหรับเรา เพราะเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือความยาวประมาณเรื่องสั้นขนาดยาวมั้ง (มันคือนิยายที่เราอ่านแบบรวดเดียวจบ)

พอมาเจอเล่มนี้ที่เป็นรวมบทความสั้นๆ ก็เลยรู้สึกว่าเนื้อหาซ้ำๆกัน แล้วก็คิดตามแบบลงลึกไม่ได้ (ส่วนเล่มก่อนหน้า your money your life ก็จะลึกไป ออกแนวปรัชญาการเงิน แต่ดีนะ เนื้อหายากพอที่จะน่าสนใจ แต่เยอะเกินไปเราเลยอ่านรวดเดียวจบไม่ได้)

เราเป็นสาย INPUT มาตลอด เก็บข้อมูล ส่วนงานที่ทำก็จะเป็น IN/OUT สลับกันเร็วๆ

ก็มีแค่บล็อกนี้ กับใน facebook ที่เหมือนสมุดจดไอเดีย ที่เป็นเวทีปล่อยของของเรา

ซื้อหนังสือมาก็ไม่ได้คิดว่า ฉันอยากจะสร้าง output ให้มากขึ้น! ไม่ได้มุ่งมั่นอะไรขนาดนั้นหรอก แค่คิดว่าอยากลองอ่านดู

👎จุดที่ไม่ชอบ

📚 ปก – ภาพปกก็ดูสวยดี แต่กระดาษเป็นกระดาษสีน้ำตาลผิวหยาบๆแบบกระดาษลังอ่ะ (เค้าเรียกกระดาษคราฟต์รึป่าวนะ) มันทำให้สัมผัสเวลาจับหนังสืออ่านเลวร้ายมาก แถมถ้านิวชื้นก็จะเป็นรอยด้วย ในฐานะคนซื้อหนังสือมาอ่านและเก็บเป็นขอวรักของข้า ประเด็นนี้สะเทือนใจอย่างมาก ราคาหนังสือก็ไม่ได้ถูก ใครมันหาทำเอากระดาษแบบนี้มาทำปก ยิ่งจำได้ว่าปกญี่ปุ่นมีแจ๊กเก็ตกระดาษขาวๆ มันๆ จับแล้วลื่นๆ ให้ความรู้สึกดีกว่ากันเยอะ

คือคุณอุตส่าห์ใช้หมึกวิบวับกับหน้าปก ดันพิมพ์ลงกระดาษสีน้ำตาล…. จะว่ารักษ์โลกก็คิดว่าไม่น่าใช่ ดูจากการพิมพ์หมึกสีน้ำเงินแบบไม่เกิดประโยชน์เยอะแยะในเล่ม ทั้งเรื่องดีไซน์แล้วก็เรื่องความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมถือว่าติดลบสำหรับเรา (ไม่ต้องแปลกใจนะที่บ่นซะยาว เราเคยบ่นเล่มอื่นที่พิมพ์สีเหลืองสีเขียวเป็น background ทำให้ตัวหนังสืออ่านยากมาแล้ว หาทำจริงๆ…)

อีกจุดที่ไม่ชอบคือการแปล near miss ว่าเหตุการณ์เฉียด (เอาจริงๆไม่รู้วาาต้นฉบับคือ near miss จริงมั้ย แต่จากเนื้อหามันใช่) เราไม่วิจารณ์การแปลของคนอื่นนะ เพราะนี่ก็เป็นล่าม แปลเอกสารอยู่เหมือนกัน เข้าใจว่ามันพลาดได้ ไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเข้าตัว 5555

แต่การจะออกมาเป็นหนังสือ เราว่ามันต้อวตรวจเยอะ คำนี้พอแปลออกมาเป็นเหตุการณ์เฉียดทแล้วมันขัดตา อ่านแล้วไม่เข้าใจ เขาไม่ได้แปลผิดหรอก แต่ผิดที่เราเองที่ดันคุ้นเคยกับศัพท์พวกนี้ที่มีใช้ในโรงงานล่ะมั้ง คือถ้าแปลว่าเหตุการณ์เฉียดแล้วใส่เชิงอรรถ อธิบายเพิ่มก็คงดี อันนี้มาห้วนๆ สั้นๆ ผ่านไป อ่านแล้วเหงาเลย

ถ้าให้แปลจะแปลว่าอะไร – คงทับศัพท์ว่า near miss แต่มีพี่ safety บริษัทเก่าเคยใช้คำว่า เหตุการณ์เกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเราว่าก็เห็นภาพชัดดี

👍จุดที่ชอบ

ชอบที่แนะนำเรื่องการใช้เสิร์ชเอนจิ้นในการหาข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือสูง อย่าง google scholar หรือ google book อันนี้เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่คิดว่าความหน้าถ้าเจอเรื่องเชิงเทคนิคอลจัดๆในบริษัทที่ไม่เข้าใจ จะลองใช้วิธีนี้ดู

อีกสองเรื่องที่เราเอาไปใช้ได้ คือการหายใจเข้าลึกๆอย่างถูกวิธี กับการฝึกยิ้ม

เมื่อก่อนเราหัวร้อนง่ายอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ใจเย็นขึ้นเยอะแล้วล่ะ ไม่ได้หายใจเข้าลึกๆอะไรด้วย แค่ใช้หลัก ทำแบบนี้ไปแล้วเขาจะชอบมั้ย ถ้าเขาไม่ชอบ เราไม่อยากให้เขาทำแบบนี้ เราควรพูดยังไงดี ยิ่งเวลารู้สึกโกรธยิ่งต้องคิดเยอะๆ (แต่ก็ไม่ 100% หรอก) ต่อไปจะลองหัดหายใจลึกๆประกอบด้วย

ส่วนเรื่องฝึกยิ้ม จริงๆเราก็ยิ้มเก่งกว่าตอนเป็นเด็กมืดมนเยอะขึ้นแล้วล่ะ ก็อาชีพล่าม… คนยิ้มเก่งก็น่าจะทำงานง่ายกว่าล่ะมั้ง โดยส่วนตัวอยู่ฝั่ง introvert แต่คิดว่าฝึกตัวเองให้คุ้นเคยกับการยิ้มไว้ดีกว่า จะได้ยิ้มได้อย่างมั่นใจ (เหมือนหนังสือจะบอกว่ายิ้มแล้วดีต่อสมอง ลดความเครียดน่ะ)

ที่เหลือค่อนข้างซ้ำๆสำหรับเรา คือเราเขียนบล็อกอยู่แล้วมั้ง หนังสือเป็นเหมือน รวมๆ first step ที่มีหลายวิธี แต่เราน่าจะเหมาะกับ step 2-3 มากกว่าล่ะมั้ง – สร้าง output ได้แล้ว แต่จะขัดเกลาจากปริมาณให้เป็นคุณภาพได้ยังไง คงต้องหาหนังสือแนวๆนี้อ่านต่อ

จริงๆก็ซื้อแนวพัฒนาตัวเองมาหลายเรื่อง เมื่อก่อนไม่อ่านหรอก อ่านแต่นิยาย แต่ก็เข้าใจนะว่าการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองเฉยๆคงไม่ทำให้ชีวิตใครดีขึ้น มันต้องผ่านการลงมือทำ และหนังสือบางเล่ม ก็อาจจะเขียนโดยคนที่ชีวิตดีอยู่แล้ว มันเอามาใช้กับทุกคนไม่ได้

พอคิดแบบนี้เลยยิ่งเห็นคุณค่าของการเป็นคนธรรมดา ที่เอาประสบการณ์ตัวเองมาแชร์อย่างจริงใจมากๆเลย ก็เลยอยากจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เขียนเรื่องของตัวเองออกมา แล้วถ้ามันมีประโยชน์กับคนอื่นได้ สำหรับเราก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ

จำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนแรกที่เขียนบล็อกนี่อยากจะดังรึเปล่า ไม่น่าจะใช่ ถ้าเราจะดัง เราอยากดังในฐานะนักเขียนการ์ตูนมากกว่า ความใฝ่ฝันตอนประถมอ่ะนะ แต่ทุกวันนี้วาดรูปสักรูปให้ตัวเองพอใจในผลงานตัวเองยังทำไม่ค่อยได้เลย สาขาวาดรูปเลยยังไม่มีของให้ปล่อยเท่าไหร่

เราก็ยังอยากเขียนหนังสือกับวาดภาพประกอบเองนะ จริงๆเขียนบล็อกอยู่ ก็ควรลงมือวาดภาพประกอบเองได้แล้ว

ความขี้เกียจยังมีแรงมากกว่าอยู่เลยอ่ะ 5555

บ่นวนไปก่อนสอบ

จะสอบวันเสาร์นี้แล้ว เลื่อนสอบมาหลายครั้งก็น่าจะมีเวลาทบทวน แต่ไม่เลย ช่วงหลังมานี้งานเอาไปหมด

ก็พยายามทบทวนให้ได้ตามแผน แต่ก็รู้สึกว่าแค่ “ได้อ่าน” เท่านั้นแหละ

การทำอะไรตอนหมดใจแล้วมันยากกว่าปกติ ถึงจะรู้ว่าอีกแค่นิดเดียว เราทำได้แน่ๆ แต่มันไม่น่าสนใจแล้วล่ะ

ตอนนี้ก็พยายามรักษาความสนุกเล็กๆเอาไว้ ด้วยการดูซีรี่ส์เกี่ยวกับกฎหมาย เราดู law school อยู่

สอบเสร็จว่าจะดู interpreter ที่เป็นหนังเกี่ยวกับอาชีพที่ตัวเองทำ เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับล่ามที่ไปได้ยินแผนการฆาตกรรม

แน่นอนว่างานเราไม่ได้มีอะไรแบบนั้นหรอก 555 จะไปมีได้ไงกันเล่า

อย่างที่บอกว่าเป็นคนซาดิสม์เรื่องงาน ดูจะชอบทรมานตัวเองกับเรื่องงานนิดหน่อย แน่นอนว่านิสัยแบบนี้ไม่ค่อยจะ healthy แต่บางทีมันก็ดีต่อใจ หลังจากทำงานโคตรเหนื่อยแทบเป็นแทบตาย เราก็จะรู้สึกว่า “อาหารมื้อนี้อร่อยจัง” หรือเวลานอนก็จะหลับไปเลยเฉยๆง่ายๆ ก็สอดคล้องกับที่เรียนมาว่าถ้าเหนื่อยจะหลับไปเอง

ตอนนี้อ่านหนังสือ output อยู่ ซิ้อมาเพราะมันเป็นหนังสือขายดี(?) ตอนเราไปเที่ยวญี่ปุ่น

ก็ดีนะ ย่อยง่าย เป็นแนวฮาวทู ไกด์ไลน์ง่ายๆ มีหลายๆเรื่อง เหมาะกับคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ (ซึ่งนี่ไม่ใช่ นี่ชอบอ่านความยาวประมาณเรื่องสั้นขนาดยาว) ดังนั้นเล่มนี้ที่เป็นไกด์สั้นๆ ก็เลยรู้สึกเหมือนอ่านทวิตบนกระดาษล่ะมั้ง

แต่ก็เอามาใช้อยู่แหละ แบบวันนี้ลองเขียน to do list ลงกระดาษ ตั้ง task ไว้ 4 ทำได้ 3/4 ก็โอเคแล้วล่ะ

ข้อที่ทำไม่ได้ก็คือข้อที่ใส่ไว้เป็น challenge อยู่แล้วล่ะ

ไอ้ที่พิมพ์ๆอยู่ตอนนี้ก็หนึ่งใน task นะ
อยากจะฝึกเขียนบ่อยๆเพื่อฝึกสร้าง output อยู่เหมือนกัน แต่ถ้างานยุ่งมากๆเราจะรำคาญเสียงตัวเอง หรือเหนื่อยกับความคิดคนอื่นที่วิ่งผ่านไปผ่านมาล่ะมั้ง

ถ้าเรียนจบอาจจะต้องนั่งจัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่อีกที ว่าสิ่งที่ต้องการจริงๆแล้วคืออะไร เพร่ะตอนนี้ก็คือ ทำทุกอย่างที่อยากทำมั่วไปหมด แล้วก็มาเหนื่อย

การตัดสิ่งที่อยากทำออกคือยากสำหรับเรา แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

ช่วงนี้ก็เริ่มศึกษาเรื่องลงทุน แต่บอกเลยว่าบีกินเนอร์มากๆ ด้วยนิสัยไม่ชอบเสี่ยงนี่แหละ

แต่เท่าที่จับหลักได้ข้อนึงคือคนส่วนมากมักจะพยายามหาว่าจะเข้าเมื่อไหร่ แต่ค่อนข้าง weak เรื่องจะออกเมื่อไหร่ดี

จริงๆมันก็ทุกเรื่องแหละมั้ง เราอาจจะคิดว่าเมื่อไหร่ควรเริ่ม หรืออาจจะไม่คิดอะไรเลยแล้วเริ่ทไปเลย

ถ้าจะบอกว่าการเริ่มต้นอะไรสักอย่างต้องใช้ความกล้า เราก็คิดง่าการเลิกอะไรสักอย่าง ก็ต้องใช้ความกล้าเหมือนกัน

คิดว่านิายมูฟออนให้ไว น่าจะเป็นประโยชน์แบะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็นั่นแหละ คนส่วนใหญ่พูดง่ายทำยาก ไม่งั้นเพลงอกหักจะดังเหรอ 5555

มีอย่างนึงที่เราสงสัยมาก ทำไมก่อนสอบเรานะต้องอยากทำงานบ้าน ซักผ้า ขัดห้องน้ำอะไรขนาดนั้น ความต้องการอยากหนีรุนแรงมากทั้งๆที่รู้ว่าพยายามหนีแค่ไหนก็ต้องทำอยู่ดี

อันนี้เราใช้วิธีคิดนี้กับเรื่องานได้สบายมาก แบบว่าแทนที่จะพยายามไม่ทำ ก็สู้ก้มหน้าก้มตาทำๆไปเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แต่พอเป็นชีวิตส่วนตัวคือคุมไม่ได้เลยทเอาแต่ใจตัวเองตลอด