คิดถึงเหมือนกันค่ะ…

ไม่ได้เขียนบล็อกนานมากเลยค่ะ มีหลายๆอย่างเกิดขึ้นกับตัวเรา และมันเปลี่ยนแปลงความคิดเราไปเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจากไปอย่างกะทันหันของบุคคลในครอบครัวมันค่อนข้างส่งผลกระทบอย่างมากกับตัวเรา

แต่ตอนนี้ก็พอจะทำใจได้แล้วค่ะ

สิ่งที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวเราจนถึงตอนนี้คือ “เราอยากให้คนอื่นจดจำเราไปในแบบไหน”

สำหรับตัวเรา  เราอยากใช้ชีวิตโดยที่ “เอาชนะตัวเองคนเมื่อวานให้ได้”

ขอบคุณมากๆเลยสำหรับคนที่ยังแวะเวียนเข้ามาดูหรือถามถึงกันถึงแม้ว่าเราจะไม่อัพบล็อกเลยนานมาก
สำหรับนักเขียน หรือนักวาดทุกคน คอมเม้นท์สำคัญมาก หลายๆอันเราอ่านซ้ำๆ เวลารู้สึกท้อๆนึกถึงแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา

สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อดีของตัวเองคือเราเป็นคนที่มีมุมมองแบบเด็กๆ มีจินตนาการ (พูดง่ายๆก็คือเป็นพวกเพ้อฝันนั้นแหละ) แต่พออายุเท่านี้ เผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เรารู้สึกเติบโตขึ้นจากข้างใน คือมันต้องโตแล้ว ต้องเข้มแข็ง จะทำตัวเป็นเด็กๆไม่ได้แล้ว (อายุก็ไม่เด็กแล้ว)

แต่สิ่งที่เราคิดมาตลอดเหมือนกันก็คือ เราไม่อยากสูญเสียจินตนาการไป

เราเคยอ่านเจอคำถามหนึ่ง แล้วมันก็ยังเป็นคำถามในหัวเราจนทุกวันนี้ ว่าทำไมเด็กไทยหลายๆคนตอนเด็กๆเก่งมาก แต่พอโตมากลายเป็นผู้ใหญ่ที่ธรรมดาๆ มันอาจจะเป็นมุมมองแบบ Stereo Type ไปหน่อย เพราะจริงๆเราก็เคยเห็นผู้ใหญ่ที่เจ๋งๆอยู่เหมือนกัน แล้วเค้าก็เจ๋งมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว

เราไม่อยากสูญเสียความคิดแบบเด็กๆไปเลย แต่กรอบของสังคมก็ดูจะทำให้เดินออกจากกรอบนั้นได้ยากขึ้นเรื่อยๆ และยากมากขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น

ต่อจากนี้ไปคงไม่ค่อยได้เขียนเรื่องล่าม หรือ ภาษาญี่ปุ่นมากนัก เพราะเราได้ตาม Target N1 ของตัวเองแล้ว เราเลยไปลงเรียนป.ตรี นิติ อีกใบ การอ่านหนังสือกฎหมายเลยกลายเป็นเรื่องที่เรากำลังทุ่มเทเวลาให้อยู่ (และ…. ใช่ค่ะ ดิฉันอ่านไม่ทันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน เลยต้องนอนก่อนแล้วตื่นตอนดึกๆมาอ่านนี่ไง)

เมื่อก่อนตอนยังสอบ N1 ไม่ผ่าน คิดว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนกำแพงสูงที่เราไม่มีวันข้ามได้

แต่พอสอบผ่านแล้ว ก็ดีใจนะ แต่อีกใจก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เก่งเลย N1 มันแค่ก้าวแรกของคนที่จะเรียนมหาลัยในญี่ปุ่นด้วยซ้ำ แล้วเดี๋ยวนี้คนก็จบจากญี่ปุ่นเยอะแยะ คนผ่าน N1 ก็เยอะแยะ

แล้วภาษาเราก็ยังไม่เก่งหรอก มันเป็นอะไรที่ต้องพัฒนาตัวเองในทุกๆวัน แต่ต่อจากนี้ไปมันขึ้นอยู่กับความขยันในแต่ละวันแล้ว มันจะไม่ได้เป็นการสอบเพื่อให้ผ่านอีกแล้ว ความกระตือรือร้นเรื่องภาษาก็เลยอาจจะดรอปลงไปบ้าง

มีหลายด้านที่เรากำลังทำอยู่ กำลังเหนื่อยกับการก้าวข้ามกำแพงของตัวเอง แต่ในความเหน็ดเหนื่อยนั้น มันก็สนุกแหละที่ได้ทำ เรารักทุกอย่างที่ตัวเองทำอยู่ในตอนนี้นะ หรืออย่างน้อย ตอนที่ทำ ก็พยายามจะรัก 555

การรักในงาน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ เราว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนะ คือคุณไม่จำเป็นต้องชอบงานตลอดเวลาก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนทำงาน ก็พยายามจะรักมันสักหน่อย แล้วมันจะทำให้ไปต่อได้ง่ายขึ้นเยอะเลย (อ่านมาจากที่ไหนสักที่นี่แหละค่ะ แต่จำไมไ่ด้ ส่วนใหญ่อะไรดีๆเราไม่ค่อยคิดเอง 555)

ไม่รักงงานก็รักเงินเดือนก็ได้ค่ะ ท่องไว้ “ฉันทำเพื่อเงิน!!!!!!!”

วันนี้บ่นขิงบ่นข่าอะไรเยอะจัง

บอกเผื่อไว้ เผื่อบางคนมาอ่านอาจจะงงๆว่ามันจะบ่นๆเรื่องตัวเองให้ฟังทำไม??

//ยิ้มไฝแห้ง… ง่า..จริงๆนี่คือบล็อกบ่นๆนะคะ อย่าคาดหวังสาระจากเรา มันเป็นสิ่งที่หาได้ยาก 555+

เราชอบที่ตัวเองยังบ่นอยู่นะ รู้สึกดีที่ตัวเองยังเป็นมนุษย์อ่ะ เพราะบางครั้งการทำงานล่าม ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานมันจะทำให้เราเป็นเหมือนโรบอทหน่อยๆ คือถ้ามองอย่างเย็นชา user บางคนก็คาดหวังให้เราเป็นเหมือน google translate แต่แม่นยำกว่า พูดปุ๊บแปลได้ปั๊บอย่างถูกต้องทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงก็คือไม่มีใครสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก

เรามองว่าล่ามเหมือนดารา หรือไอดอล หรือนักร้อง ที่พอจับไมค์ขึ้นเวทีแล้วต้อง The show must go on

แต่ละการประชุมคือเวทีที่เราต้องขึ้นไปแสดง อาจจะมีวันที่แสดงได้ดี หรือบางวันอาจจะทำได้ไม่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ทำได้ดีขึ้นคือการซ้อม ซ้อม ซ้อม และซ้อมอย่างหนักมาก

อย่างเราเห็นไอดอลแสดง บางคนก็อาจจะคิดแค่ว่า ร้องเพลง เต้นๆ แค่สามนาทีก็ได้เงินเยอะแยะแล้ว

แต่เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยงาม มันคือหยาดเหงื่อ คราบน้ำตา และการฝึกฝนอย่างหนักเป็นปีๆ

ว่าแล้วก็แปะ MV tie-in สักหน่อย เป็นเพลงที่ฟังแล้วมีกำลังใจดี ชอบฟังก่อนอ่านหนังสือ รู้สึกฮึกเหิม เหมือนจะไปออกรบ 555+

“คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ”

 

ตอนนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะทำหลายอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เรียนนิติอีกใบ มีไปสอนภาษาญี่ปุ่นด้วย และอื่นๆอีกที่ไม่ได้บ่น เอ้ย บอก

จริงๆเรามีกระดาษที่ดราฟๆไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับมุมมองของเราที่มีต่อล่ามในอนาคต

เขียนเอาไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าเราสัญญาว่าจะเขียน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเราจะลืมแน่ๆ

ตอนนี้ขอตัวไปทำสิ่งที่ต้องทำก่อนนะคะ แวะมาอัพให้หายคิดถึงกัน อิอิ

เรื่องงานเราแฮปปี้ดีค่ะ แถมช่วงเผาลุงที่ทำงานให้ฟัง เราทำงานอย่างแฮปปี้จริงๆ

[ ล่ามของลุงไม่ได้น่ารักขนาดนั้น ]

ปี 2016
มันจะมีกล่องใส่คลิปหนีบกระดาษสีเหลืองๆ น้ำเงินๆ
ลุงก็หยิบกล่องที่ว่านี้ขึ้นมาแล้วก็พูดว่า “เนี่ย ที่ญี่ปุ่นมีลูกอมยี่ห้อหนึ่ง ทั้งสี และดีไซน์ รูปแบบ เหมือนกล่องนี้เปี๊ยบเลย ตอนเห็นกล่องนี้ครั้งแรก ผมคิดว่ากล่องใส่ลูกอมซะอีก”
ล่ามก็แปลไปตามนั้น
 
ปี 2017
ลุงก็หยิบกล่องคลิปหนีบกระดาษนี้ขึ้นมาอีกแล้วก็พูดว่า “เนี่ย ที่ญี่ปุ่นมีลูกอมยี่ห้อหนึ่ง ทั้งสี และดีไซน์ รูปแบบ เหมือนกล่องนี้เปี๊ยบเลย ตอนเห็นกล่องนี้ครั้งแรก ผมคิดว่ากล่องใส่ลูกอมซะอีก” – – – ไดอะล็อกเดิมเป๊ะๆ
 
ล่าม: มีหน้าที่แปลก็แปลไป อย่าขัดใจลุง
 
ปี 2018
ลุง หยิบกล่องคลิปหนีบกระดาษขึ้นมา “เนี่ย ที่ญี่ปุ่นมีกล่องใส่ลูกอม……..” ไดอะล็อกเดิมอีกแล้ว
ล่าม “ปีที่แล้วก็พูดแบบเนี้ย…” (ทำหน้ากวนตีน)
ลุง (ง้างหมัดใส่ แล้วหัวเราะ) “เอ้อ เดี๋ยวคอยดูนะว่าปีหน้าผมจะพูดแบบนี้อีกรึเปล่า 5555”
 
ล่ามของลุงไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก 555
เรากวนตีนใครแปลว่าเราให้ความสนิทสนมนะ
 
(ไม่อ่ะ แกกวนตีนทุกคน แม้แต่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก)
 
คิดซะว่ามันเป็นวิธีผูกมิตรของเราก็แล้วกัน (นี่เมิงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เร๊อะ!?)
 
ลุงก็ใจดีกับเรามาก มากจนเรารู้สึกตัวเองนิสัยไม่ดีอ่ะ 555
เมื่อวานมีรายงานอันนึงที่เราแปลเสร็จไปแล้ว แต่พี่คนทำเค้าแก้ใหม่ ทำเพิ่ม
จะประชุม 8:30 พี่แกส่งให้เราแปลตอน 7:35
Orz
 
ตอนพี่เค้าเดินมาบอก เค้าก็ดูเกรงใจ พูดอ้อมแอ้มไปมา เราก็มองค้อน คือส่งมาตอนนี้ก็มีแต่ต้องปั่นสุดพลัง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทันมั้ย
 
ลุงเห็นเมลล์พี่แก ลุงแกก็ว่าให้ “ส่งมาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ” (ปรบมือสิคะ รออะไร ลุงพูดโดนใจ)
 
นี่แปลไปก็ทำหน้าบูดเป็นตูดหมาไป ลุงเห็นก็ยิ้ม
ลุง “โกรธใช่มั้ยๆๆ โกรธสินะ”
เรา “โกรธสิคะ ก็ T ซังส่งมาให้แปลตอนนี้ ก็ต้องโกรธอยู่แล้ว”
ลุง “หน้าเธอตอนโกรธ น่ารักดีนะ”
 
ไดอะล็อกได้นะ ขอเวทมนตร์เปลี่ยนลุงเป็นอิเคเมนหน่อย 5555
ล้อเล่น สำหรับเรา ลุงดีที่สุดแล้วล่ะ ตั้งแต่ทำงานมา ลุงเป็น Mood Maker ที่ดีมากจริงๆ เวลามีปาร์ตี้อะไรคนเค้าก็เลยต้องชวนลุงตลอด
เรามีความสุขกับงานที่ทำตอนนี้จริงๆนะ คือเงินมันก็โอเค ถึงจะมีที่อื่นที่เราอาจจะได้มากกว่า แต่เราแฮปปี้กับคนที่นี่สุดแล้ว โดยรวมมันโอเคอ่ะ คิดว่าหาที่ที่จะรู้สึกสนุกกับงานมากกว่านี้คงไม่ได้แล้ว ต้องขอบคุณลุงที่มาสร้างความสนุกสนานเหมือนอย่างวันแรกที่ลุงแนะนำตัวจริงๆ
ลุงบอกว่า ภารกิจของผมที่นี่ (ตอนเพิ่งย้ายมาประจำที่ไทย) คือการทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่สนุกสนาน