มุมมองเกี่ยวกับทิศทางงานล่ามและนักแปลในอนาคต[2021]

เราเคยเขียนอะไรทำนองนี้ไว้ในปี 2015 ซึ่งมันก็ผ่านมานานแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะอัพเดตได้แล้วล่ะ

disrupt disrupt disrupt บางครั้งก็คิดว่าเราถูกสื่อทำให้กลัวคำนี้ ไม่ว่าจะเป็นการล่มสลายของบริษัทอย่างโนเกียหรือโกดัก(เราชอบผลิตภัณฑ์ของทั้งสองบริษัทเลยนะ แต่สิ่งที่เราเคยชอบ ตอนนี้เราก็ไม่ได้ใช้แล้ว เพราะเจอบางอย่างที่ชอบน้อยกว่าแต่คุณค่าที่บริษัทส่งมอบ แต่ทำให้ชีวิตง่ายมากกว่า)

จริงๆแล้วทุกอย่างไม่ได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในชั่วข้ามคืน การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกๆวัน อยู่ที่ว่าเราจะทันสังเกตเห็นมันรึเปล่า เทคโนโลยีที่เราใช้ในปัจจุบันก็พัฒนามาจากเทคโนโลยีทางการทหารที่เคยใช้มาในหลายสิบปีก่อน

จริงๆ machine translation ก็มีมาตั้งแต่ในยุคปี 19xx (จำไม่ได้)

จะบอกว่า A.I. พัฒนาเร็ว A.I. จะมาแทนที่ล่ามแปลภาษา

อืมมม ถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้วก็ต้องบอกว่า “พัฒนาช้า” มากกว่า

ถามว่าเราทะนงตนมั้ยว่าเราเป็นล่ามที่เครื่องจักรแทนไม่ได้ บอกได้เลยว่าไม่ ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย เรามองเครื่องจักรเป็นเครื่องมือในการจัดการงานซ้ำ ๆ เพื่อที่คนจะได้ไปทำงานอะไรที่มันต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์น่ะ

ถ้าจะบอกว่า “A.I. ก็คิดได้” อันนี้เราไม่ค่อยแน่ใจ ที่เรารู้คือ A.I. ประมวลผลจากข้อมูล คนต้องสอน A.I. ดังนั้น “คน” จึงยังจำเป็นอยู่ถึงแม้จะมี A.I.

คำถามถัดไปก็คือ แล้วคนแบบไหนล่ะ ที่จำเป็น

อันนี้คำตอบมันก็กว้างมาก

ถ้าจะดู lesson learn จากเคสดังๆอย่างโนเกียหรือโกดัก ก็คือสิ่งที่เขาทุ่มทุนพัฒนา มันไม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในสังคมอีกต่อไป

ถ้าให้มองความต้องการล่ามหรือนักแปลในอนาคต ก็ต้องมามองว่าอะไรคือ pain point ของผู้ใช้งานซอฟท์แวร์แปลภาษาในปัจจุบัน

เราอาจจะคิดว่า google translate นั้นฟรี แต่จริง ๆ ไม่ใช่

ต้นทุนการพัฒนาซอฟท์แวร์นี้น่าจะสูงมาก แต่เราคิดว่ากูเกิ้ลทำ เพื่อจะ collect data มาทำให้ซอฟท์แวร์เค้าฉลาดขึ้น (คิดแบบจับแพะชนแกะเลยนะ) แล้วจากหนังสือที่เราอ่านมา อะไรที่เราเห็นบ่อยๆ เรามีแนวโน้มจะชอบสิ่งนั้น พอใช้ google translate บ่อย ๆ มันก็จะกลายเป็นความเคยชิน

ตอนนี้เวลาทำงานที่บ. บางทีเอ็นจิเนียก็ใช้ google translate แปล แต่ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็จะมาถามเรา แปลว่าตอนนี้เรายังชนะ(?) และจริงๆ google translate มีส่วนช่วยเราให้ไม่ต้องทำงานจุกจิก (ไม่ต้องแปลทุกอัน แปลแค่เรื่องที่สำคัญก็พอ)

บางทีเวลาโปรเจคด่วนๆ ข้อมูลเข้ามาเยอะๆ เราก็ใช้ Machine Translation (ของค่ายอื่น) ช่วยแปลเบื้องต้น แล้วก็เอาไปคุยกับเอ็นจิเนีย ใช้ทักษะ skimming&scanning ที่ได้มาจากการทำข้อสอบ reading ภาษาอังกฤษมองหาข้อมูลสำคัญ โดยส่วนตัวคิดว่าทักษะการคัดสรรเพื่อเลือกเอาข้อมูลสำคัญออกมาจำเป็นในการทำงานไม่แพ้ทักษะทางภาษาเลย

ว่าด้วยแนวคิด “ภาษาเป็นปากกา ส่วนเนื้อหาเราต้องหาเอง” ที่เคยเชื่อสมัยมหาลัย

จะว่าไปนี่ก็ยึด concept นี้ในการทำงานและใช้ชีวิตมาตลอด

ถามว่าเจอกำแพงภาษามั้ย เจอสิ ทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นเลย

จะบอกเลยว่าเราไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น ถึงจะเป็นล่ามก็เถอะ แต่เราค่อนข้างเก่งภาษาไทย เพราะเราอ่านหนังสือภาษาไทยมามากในระดับนึง และยังมีความกระหายที่จะอ่านอยู่ ซึ่งเราไม่พบสิ่งนี้ในหนังสือภาษาอังกฤษกับภาษาญี่ปุ่น

หนังสือภาษาอังกฤษที่เราอ่านจบมีแค่ The Hunger Games: Catching Fire เล่มเดียวเท่านั้น เหตุเกิดจากไปดูหนังภาคแรกแล้วอารมณ์ไม่จบ

ส่วนหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่อ่านจนจบ ก็คือไลท์โนเวล 3 เล่ม ที่ตอนนั้นทำงานแปลกับสำรักพิมพ์ พยาบามจะหัดอ่าน 人間失格 ใน Aozora Bunko ตั้งแต่เรียนจบก็อ่านไม่รู้เรื่อง (เริ่มจากเล่มนี้เพราะเรามี pain point ในวิชาแปบที่รู้สึกว่าตัวเองแปลได้ไม่ดีทั้งๆที่อยากจะแปลให้เก่งๆแท้ๆ) จนตอนนี้ซื้อคินเดิล ซื้อรวมผลงานของดาไซ โอซามุมา ก็อ่านไม่จบ 5555

เห็นวันก่อนมีประเด็นเรื่องสนับสนุนให้เด็กเรียนสายวิทย์มากกว่าสายศิลป์

อันนี้ก็มองว่าไม่ค่อยเกี่ยว ทุกอย่างเรียนรู้ได้ นี่จบสายภาษามา ปริญญาคือศิลปศาสตรบัณฑิต แต่งานเราโคตรจะเกี่ยวข้องกับวิศวกรรมอย่างมาก

เมื่อตะกี้ไปอ่านบทความเกี่ยวกับคอร์สเรียนและเส้นทางสายนักวิเคราะห์ข้อมูล

https://datarockie.com/blog/data-analyst-complete-career-guide/

ก็พบว่าอะไรที่เรากำลังเรียนแบบมั่วไปหมด มันอยู่ใน Skill Tree ของสายนี้ทั้งหมดเลย

อย่างหนังสือ 4 เล่มที่เขาแนะนำ
1. Business made simple
2. Think like a freak
3. Growth hacker marketing
4. Naked statistics

เราก็มีในชั้นหนังสือแล้ว 2 เล่ม คือ Naked statistics กับ Think like a freak (เล่มนี้ซื้อมาซ้ำด้วย พลาดดดด)

ส่วนตัวคิดว่าการทำงานเป็นล่ามทำให้ต้องเจอกับข้อมูลเยอะมากๆ และแน่นอน ถ้าต้องแปลหมดทุกอย่างในเวลาจำกัด มันแปลไม่ทัน

เวลามีโปรเจค แล้วยิ่งมันด่วนๆ เราเป็นคนแรกที่ที่ต้อง”กิน”ข้อมูลเข้าไป แล้ว”ย่อย”มันออกมาให้เอ็นจิเนียเอาไปทำงานต่อ คือถ้าเราไม่มีสกิลรับจ้อมูลปริมาณมากๆแล้วประมวลผลออกมา(ในอีกภาษา)ได้ในเวลาอันจำกัด คนอื่นจะทำงานลำบาก

พอไปอ่านเส้นทางหรือสกิลที่นักวิเคราะห์ข้อมูลควรมีก็พบว่าการเดินบนเส้นทางสายอาชีพที่ใช้ภาษาทำเอาเราไปเดินปะปนกับ skill map ของนักวิเคราะห์ข้อมูลโดยเราเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อนเลย

ก็เลยคิดว่าถ้าไหวจะพยายามพัฒนาทักษะของสายงานนี้ดูอย่างน้อยก็คิดว่าไม่ได้เริ่มจากศูนย์ คือการเก่งภาษามากๆ ใช้ภาษาได้ดีเหมือนเจ้าของภาษาไม่ใช่คุณค่าที่เราสนใจน่ะ จริงๆถ้าเก่งภาษาได้เหมือน native speaker ก็ดี แต่เราชนกำแพง 80/20 เต็มๆ และไม่ได้อยากใช้เวลาไปกับ 20% ที่เราทำไม่ได้มากนัก มันทรมานและไม่สนุก เราชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆมากกว่า รู้สึก fresh กว่า ตอนนี้ก็เลยเดินเปะปะไปเรียนอะไรของสาย Data Analysis บ้างเหมือนกัน

โชคดีที่ไม่ได้เกลียดเลขขนาดนั้น ก็มีช่วงที่เรียนไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้อคติ ถึงจะดรอปวิชา STAT100 ก็ตาม

เสียดายอ่ะ คือรู้ว่าวิชานี้ต้องฉุดกระชากเกรดเราลงเหว แต่รู้งี้ตอนมหาลัยไปลงเป็น V-Visitor

จริงๆก็ไม่ได้มีอะไรต้องเสียดายเรียนตอนนี้ก็ยังได้ หนังสือเต็มบ้าน ไหนจะมรดกวิชาเศรษฐศาสตร์ของเพื่อน ก๋องโอ๊ะโยะ เต็มไปหมด 55555 (เราชอบแฮร์รี่ภาคภาษาเหนือของ 4 แสนมิติมากนะ ดูซ้ำๆ ตลก)

ที่เขียนเรื่องนี้เพราะก่อนหน้านี้เรียนกฎหมายแล้วหลับสบาย ควบคุมอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้พอไม่เรียนแล้ว จะจบแล้ว ก็เลยเหมือนพลังงานเหลือ นอนไม่หลับเลย แถมความอดทนต่ำด้วย เมื่อก่อนที่ดีๆขึ้นมาช่วงนึงไม่ใช่ความอดทนสูงขึ้นนะ เหนื่อยยยย ขี้เกียจไฝว้ 555555

อาจจะต้องวางแผนตัวเองใหม่ สะเปะสะปะมากตอนนี้ เหมือนเล่นเกมอ่ะ ถ้าอยากเล่นให้เก่งก็ต้องเลือก skill tree ดีๆ เอาค่าประสบการณ์มาอัพให้สกิลตรงสาย จะเล่นได้ดีกว่าอัพสกิลสะเปะสะปะ แต่ชีวิตจริง มันก็มีทั้งคนรู้กว้างและรู้ลึก ไม่มีสูตรสำเร็จด้วยว่าอันไหนดีกว่า แต่เราชอบสายรู้กว้างนะ (สมาธิสั้นหน่อยๆแหละ) ก็เลยพยายามปลดล็อกสกิลเป็ดทองคำอยู่

สรุปสั้นๆ A.I. แย่งงานล่ามและนักแปลได้มั้ย

ไม่เชิง ถนัดคนละแบบ A.I. ถนัดงานซ้ำๆ คนถนัดงานสร้างสรรค์ แต่ถ้าเป็นคนที่ทำงานซ้ำๆแบบ A.I. จะเริ่มไม่สดใสแล้ว

อย่างเช่น ให้เราเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นสักเรื่องออกมา เราเขียนได้ดีกว่า A.I. แบบน่าจะอ่านแล้วสนุกกว่า (จริงๆมันมี A.I. แต่งเพลงได้นะ แต่คิดว่าคนที่รีเสิร์ชมาดีๆจะแต่งเพลงได้ดีกว่า A.I. แม้ฐานข้อมูลจะเล็กกว่า)

แต่ถ้าให้นับว่าในนิยายหรือเรื่องสั้นเรื่องนี้ มีคำว่า “รัก” ทั้งหมดกี่คำ อันนี้ A.I. นับเก่งกว่าเราแน่นอน

ดังนั้นก็เลยคิดว่าล่ามและนักแปลก็ยังมีงานอยู่ เผลอๆจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ (เพราะ big data) แต่คิดว่า cost ในการแปลอาจจะถูกลงสำหรับงานแปลทั่วๆไป แต่งานแปลที่ต้องการความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ข้อมูลที่เป็นความลับ หรือเรื่องที่มันใหม่ๆ ไม่ใช่อะไรซ้ำๆ คนก็จะยังต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป

บันทึกความประสาทกินของข้าพเจ้าในสามวัน

วันจันทร์

บอกตรงๆว่ากลัวการแปลวันพรุ่งนี้มาก ทั้งๆที่วันนี้เราแปลได้ค่อนข้างดี (หมายถึงทุกคนเข้าใจตรงกัน การสื่อสารเป็นไปได้ด้วยดี) คือจะสื่อว่าความสามารถทางภาษาของเราจะวันนี้กับพรุ่งนี้มันคงไม่ต่างกันมาก แต่ตัวแปรที่เปลี่ยนไปคือ user ต่างหากล่ะ

นี่ก็พยายามจำลองสถานการณ์ worst case ในหัว…

ในกรณีที่แย่ที่สุดเราจะทำอะไรนะ? ด่าคนพูดออกอากาศมั้ย หรือแปลออกไปแล้วมันดูโง่มากแล้วญปถามจี้เหมือนเราแปลไม่รู้เรื่องป่าววะ หวังว่าเค้าจะเข้าใจว่าทุกทีเราก็พูดรู้เรื่องนะ แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ปกติ

บอกเลยโคตรกังวล คือญปที่ประชุมด้วยพรุ่งนี้ค่อนข้างซาดิสม์ ส่วน user ฝั่งไทยพรุ่งนี้คือแก๊งรวมดาวคนพูดไม่รู้เรื่อง จับใจความลำบาก หา point ไม่ได้ ไม่เว้นวรรคให้แปล แล้วต้องแปลใน MS Teams (รวมทุกความบรรลัยมาครบรึยังนะ? แต่อคติกับเค้าไปก่อนก็ไม่ดีนะ)

จะว่าประสาทเสียกลัวไปก่อนก็ได้ แต่กลัวจริง

นี่ถามพี่เมเนเจอร์ไป

ฉัน “ถ้าพรุ่งนี้พี่ ก. (production manager) เขาพูดไม่รู้เรื่อง (ชื่อเรา)ดุเค้าได้เลยใช่มั้ยคะ”
พี่เมเนฯ “เห้ย เราก็อย่าไปดุเค้าดิ”
ฉัน “งั้นพี่ก็ติวเค้าดีๆนะคะว่าจะพูดอะไร แต่เคยแปลให้พี่ก. หลายที่แล้ว พี่ติวเค้ายังไงเค้าก็ไม่พูดแบบที่พี่บอกเค้าหรอกค่ะ” (ยิ้ม…)
พี่เมเนฯ “น้อง(ชื่อเรา)พูดงี้พี่เครียดแล้ว พรุ่งนี้พี่เอา surface ไปโรงพยาบาลด้วยดีกว่า” (จะต้อง work from hospital ว่าซ่านนน)
ฉัน “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ พี่บอกเค้าว่าอย่าพูดยาวเกิน 3 ประโยค พยายามพูดให้ชัดเจนว่าใครทำอะไรที่ไหนตามหลัก 5W2H ถ้าได้ก็ขอบคุณมากเลยค่ะ”
พี่เมเนฯ (จดๆ) “พี่จะบอกเค้าว่าให้พยายามพูดประโยคแบบมีประธาน กริยา กรรม นะ”
ฉัน “ขอบคุณค่ะ ก็หวังว่าเค้าจะเชื่อพี่ แต่ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกค่ะ 555555”

เอาจริงๆนี่ก็ไม่จบ เพราะกังวลจริง ยังถามอีกว่า “พี่คะ ถ้าพี่ก. พาออกทะเล พรุ่งนี้(ชื่อเรา)ก็ออกทะเลไปกับเค้าได้เลยใช่มั้ยคะ เย้! ออกเรือได้”
พี่เมเนฯ “เฮ้ยยย อย่า ไม่เอางั้นดิ”
ฉัน “ก็แปลด้วยสรุปประเด็นให้ด้วยมันเหนื่อยมากนี่คะ พี่ก็รู้ว่าเค้าพูดแล้วมันหาประเด็นยาก สิ่งที่ทรายทำได้ก็คือ ignore ไม่แปลเลย หรือพยายามถามให้เค้าตอบให้ตรงคำถาม แต่ทำแบบนี้มากๆเดี๋ยวเราจะบาปอีก”

สรุปก็ไม่มีข้อสรุป… เอาเป็นว่าพรุ่งนี้น่าจะต้องกินดอกลาเวนเดอร์สักไร่นึงก่อนแปล

แกล้งตายดีมั้ยนะ…?

หวังว่าเราจะแค่กังวลไปเองนะ

—————

วันอังคาร

มาต่อด้วยเรื่องที่แพนิคเมื่อวาน พอมาวันนี้ก็เกิดขึ้นจริงๆ สัญชาตญาณเราไม่ผิด

นี่ก็ฝึกจำลอง worst case ในหัวมาแล้ว ตั้งโปรแกรมตัวเองให้ใจเย็นๆตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเช้าก็กล่อมเกลาจิตใจตัวเองต่อไป เอ้ออออ ขนาดนั้นเลย แดกดอกลาเวนเดอร์เป็นไร่ไปทำงานคือไม่เกินจริง

ประชุมตอนบ่ายโมง
11 โมงนิดๆได้เอกสารมารัวๆ แล้วเป็นภาษาไทย(ที่เรียบเรียงมาแย่มาก) พี่เมเนเจอร์อยากให้เราแปล แต่พี่เมเนเจอร์พักร้อนนะ อยู่แต่พี่ซีเนียร์

พี่ ซน.”เมเนเจอร์เขาอยากให้แปลเอกสารเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มันเยอะมากเลย…”

ฉัน “ประชุมบ่ายโมง นี่11:00 (เบรค12:00) ถ้าอยากให้แปลทำไมไม่ส่งมาตั้งแต่เมื่อวานล่ะคะ” (เรามีประชุมอื่น เพิ่งเลิกตอน 11:00 ด้วย)

พี่ ซน. “เขาเพิ่งทำเสร็จเมื่อเช้า”

ฉัน “แล้วทำไมไม่ทำตั้งแต่เมื่อวานอ่ะ”

พี่ ซน. “…”

ฉัน “อ่ะๆ รู้ว่าไม่รู้ค่ะ งั้นเปลี่ยนคำถาม พี่ดูเนื้อหานะ… แปลไปก็ไม่มีประโยชน์ มัน must ต้องแปลจริงๆเหรอ มันถึงขนาดต้องไม่กินข้าวเที่ยงแล้วนั่งแปลให้เลยมั้ย อันนี้ไม่ได้ประชดนะ จริงจัง จะได้ทำให้ถูก”

พี่ ซน. ก็ไม่กล้าตัดสิน ถามไรไปก็หัวเราะแห้ง สงสารก็สงสาร แต่ไม่ถามคนนี้ก้อถามใครไม่ได้แล้ว

สักพักพี่ AGM ก็บอกเราว่า “ไม่ต้องแปลหรอก (ไม่มีสาระ)”

ฉัน “ขอบคุณค่ะ อยากได้ยินคำนี้แหละค่ะ”

ก็ไปแปลๆประชุม นานมาก เกือบสองชั่วโมง เนื้อหาของ QA กับ PE ก็พอเข้าใจ แต่เนื้อหาของ Production นี่ก็พยายามแปล พยายามช่วยแล้ว แต่คนญี่ปุ่นบอกว่า 全然分かりません。ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว

สำหรับล่ามคำนี้เจ็บนะ
สำหรับล่ามที่ชอบคำว่า อ๋ออออออ นารุโฮโดะ คำนี้ยิ่งเจ็บ

แต่วันนี้เราไม่เจ็บ เพราะเรารู้ว่า ถ้าเค้าเข้าใจส่วนของ QA, PE แปลว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ล่ามแล้วล่ะ

พอถามอะไรมา ก็ตอบไปแบบ… แปลไปก็อายอ่ะ แปลแล้วจะบาปนะ นี่ก็ถามว่า”จะให้แปลแบบนี้จริงๆเหรอคะ แปลไปนี่บริษัทเราจะดูเป็นบริษัทที่แค่เรื่องพื้นฐานง่ายๆยังไม่ทำเลยนะคะ นี่เป็นคำตอบของบริษัทเราแล้วเหรอคะ”

หัวหน้าเค้าก็คอยเบรค แต่พี่เค้าก็ยังคูขิโยเมะไน่ต่อไป จนหัวหน้าเค้าทนไม่ไหว บอกว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ห้ามตอบ!”

พอจบประชุมลุงหัวหน้าเราก็โทรมาหาเรา บอกว่า “ห้ามให้คนนี้พูดอะไรตอนคุยกับญี่ปุ่นอีก”

ทำยังกับว่าเราห้ามแล้วเขาจะฟังงั้นแหละ

คือถ้าพี่เมเนเจอร์ไม่เบรคเรา เราจะดุให้ก่อน (นี่ก็คอยช่วยปรับคำพูดจนเหนื่อยแล้วนะ) ที่เราถามอ่ะว่าถ้าเค้าพูดไม่รู้เรื่องเราดุได้เลยมั้ย

พอเราไม่ดุ ก็ดูเอา คนอื่นด่าแรงกว่าเราอีก แล้วเราก็ต้องมาแปลคำด่านั้น ซึ่งเจ็บบบบบบกว่าเดินแล้วนิ้วก้อยตีนเตะขอบเตียงอีก

ให้เราดุพี่เค้าแล้วเราดูเป็นเด็กไม่มีมารยาทยังจะดีกว่าเลย เห็นแล้วสงสารเหอะ แต่พี่แกก็ขยันมึนดี มึนมาหลายปีแล้ว เราถึงให้พี่เค้าเป็นอันดับ 1 ของบริษัทไง 55555

ลุงก็บอกให้เราแปลเอกสารของ production เป็นภาษาญี่ปุ่น นี่ก็บอกว่าอย่าเลยค่ะ อันนี้อ่านไปจะหงุดหงิดเปล่าๆ รอให้ top management ของ production review ก่อนนะคะ

เนี่ย… แล้วเดี๋ยวก็ต้องมาปั่นสุดพลังอีก ลุงจะเอาเช้าวันพฤหัส แต่ก็ทำรายงานไม่เสร็จกันหรอก

งานแปลมันไม่ได้เสกได้ทันทีนะ ก็ต้องมีเวลาทำเด้อออออ ภาษาไทยก็เขียนมาแบบอิหยังวะ ใช้จะแปลได้ง่ายๆนะ

บ่นไปงั้นแหละ ลึกๆแล้วก็แอบสนุก ซาดิสม์แหละ ทุกคนรู้ววววว

——-

วันพุธ

ตอนนี้พอไม่ได้เรียนนิติ เราเริ่มกลับมามีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์ตอนแปลอีกแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่ตัวเองคนเดียว พอพี่ล่ามมาคุยด้วยก็เก้ท อ่อ เราไม่ได้เป็นบ้าไปเองคนเดียวสินะ

แต่เราก็ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ควรจะรักษา performance ให้ได้แบบที่เคยทำมา

น่าจะเครียดแหละ แบบพอลุงกลับญี่ปุ่น แล้วอะไรๆก็เหมือนเราต้องเป็น center เป็น pipe ทุกเรื่อง ลุง VP และ EVP ก็ขยันเดินมาหา บอกตรงๆว่าประสาทกินมาก เล่นเอาเราระแวงเสียงฝีเท้าไปเลย

บางทีพอไม่ใช่การสื่อสารแบบ face to face ไปบอก user เขาก็ไม่ทำให้ แล้วนี่ต้องทำยังไง เฉยไว้ หรือขี้ฟ้องดีนะ ทำตัวไม่ถูกเลย

บางทีด้วยใจที่อยากจะช่วย ก็เหมือนจะโดนด่าเหมือนทำตัวรู้มากไปซะงั้น แต่พอทำตามบทบาทหน้าที่ตัวเอง ก็ถูกคาดหวังว่าต้องรู้ให้มากกว่า

อืมมมมมมมมมม… ตกลงให้ทำแบบไหน ทำตัวไม่ถูกจริงๆ เมื่อก่อนเคยคิดว่าเซ้นส์ตัวเองบอกได้ แต่ช่วงนี้เริ่มไม่ไว้ใจตัวเองแล้วว่าที่ตัวเองทำนี่มันถูก หรือมันผิด

บางทีอาจจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องก็ได้ เหมือนเคยแปลให้ผู้บริหารแล้วเคยได้ยินว่า “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าผมตัดสินใจถูกืหรือตัดสินใจผิด ผมทำได้แค่ต้องตัดสินใจจากข้อมูลที่คุณให้มา” คือเขาจะสอนเรื่องการทำ data แหละว่าเขาต้องการ data อะไรในการตัดสินใจเรื่องนี้บ้าง

เอาจริงๆล่ามก็ไม่รู้หรอก สิ่งที่ล่ามทำได้ก็แค่พยายามแปลให้สื่อสารเข้าใจกัน อย่าคาดหวังอะไรที่มากกว่านั้นเลย ต่อให้มีบางครั้งที่เราทำได้ แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้เดาแม่นทุกครั้งขนาดนั้น และไม่ควรจะต้องเดาด้วย

ช่วงนี้คิดว่าต้องถอยกลับมาทบทวนตัวเองแรงๆเลย เหมือนเมาหมัดอ่ะ
แต่ตอนนี้งานก็รุมเร้าจนคิดอะไรไม่ค่อยออกเท่าไหร่

ได้แต่ตั้งโปรแกรมตัวเองไปวันๆ
อ่ะวันนี้ใจเย็นๆน้า ยิ้มเข้าไว้ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแปลไป
อ่ะวันนี้เป็นผู้ฟังที่ดีนะ ไม่ต้องไปสาระแนรู้มาก แค่รับฟังก็พอ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น ถึงเวลาที่ต้องแปบก็แค่แปลให้ถูก แปลให้ได้ แต่แปลให้ดีนี่ใครจะไปรู้ว่า definition ของคำว่าดีคืออะไร ดีของใคร

ก็เครียดแหละ สับสนด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม เราก็แค่ทำแบบที่เคยทำมาเพราะว่าอยากได้เงินไง ทำได้สบายๆอยู่แล้ว

——

ต้องไปหาหมอรึยังนะ?

ตอนนี้พยายามใช้เทคนิค worst case simulation เผื่อจะช่วยในการควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้าง ดูบล็อกวันก่อนเรายังอยู่ในร่างนางฟ้า “ไม่มีใครอยากเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องหรอกนะ” อยู่เลยอ่ะ มันเกิดอะไรขึ้นนนนนนน

เรายอมรับตรงๆเลยว่าเรายังเก่งไม่พอที่จะควบคุมทุกอย่าง ทุกวัน ให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ใจเรายังไม่นิ่งขนาดนั้น และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ใจแกว่ง ถ้าได้หลบไปพักสักหน่อยกลับมาน่าจะดีขึ้น

[หนังสือ] UNTAMED อย่ายอม

ตอนแรกเล่มนี้เราเขียนลงแค่ใน facebook กะจะไม่ลงบล็อก แต่หนังสือดีมากจนอดไม่ได้ที่จะแนะนำ

พี่เทคสมัยมหาลัย (คล้ายๆพี่รหัส แต่มหาลัยเรารหัสไม่ตรงกัน) มาคอมเม้นว่า

“พี่ไปซื้อมาเมื่อวาน เพราะมีโอกาสได้อ่านจากที่เขียนแชร์ไว้

ดีจังเลย

ขอบคุณนะคะ🤍”

ซึ่งมันมีความหมายกับเรามากๆ ก็เลยคิดว่าต้องเอาที่เขียนถึงเล่มนี้ลงบล็อกด้วยแล้วล่ะ

UNTAMED อย่ายอม – เกล็นนอน ดอยล์

เราเคยเห็นคำนี้ครั้งแรกจากชื่อคนในทวิต (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงหนังสือเล่มนี้หรือปรมาจารย์ลัทธิมารกันแน่)


ปกติก็จะสั่งหนังสือจากเว็บของค่ายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่อารมณ์ แล้วถ้าซื้อของค่ายใหญ่ ส่วนใหญ่มันก็จะมีโปรว่าถ้าซื้อ 4 เล่มขึ้นไปจะได้ส่วนลด 20% นะ เวลาซื้อหนังสือทีก็จะซื้อเยอะตลอด เดือนนี้ก็ใช้เงินซื้อหนังสือเงินงบที่ตั้งไว้ไปเยอะมาก


เล่มนี้ตอนแรกจะสั่งมาแบบรวมๆกับเล่มอื่น ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่มันหมด จนรีสต็อกใหม่ ก็เลยจะกดสั่ง แต่ด้วยความที่เดือนนี้ซื้อหนังสือเยอะแล้วก็เลยไปอ่านตัวอย่างหนังสือใน google books ก่อนกดสั่งซื้อ (ส่วนมากถ้าเป็นหนังสือที่มีต้นฉบับภาษาอังกฤษ หนังสือใหม่ ๆ มักจะมีตัวอย่างหนังสือให้ทดลองอ่านอยู่แล้ว)


บทนำเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสือชีต้าร์ในสวนสัตว์ ส่วนบทที่หนึ่งนั้น เริ่มต้นด้วยประโยคนี้


Four years ago, married to the father of my three children, I fell in love with a woman.


เอ๊ะ…มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่ แตกต่างไปจากการรับรู้ที่ผ่านมา หรือเราจะแปลผิดนะ? 


อืมมม father, children, feel in love, woman


คำศัพท์พื้นๆที่เรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่น่าจะแปลผิดหรอก แต่ก็กลับไปอ่านทวนประมาณสองสามรอบนะ เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง บัตรเครดิตในกระเป๋าสตางค์เริ่มสั่น มันร่ำร้องว่าอยากเสียเงินแล้ว


อ่านไปเรื่อย ๆ ก็เจอประโยคที่แม่ของเกล็นนอนพูดกับแอ๊บบี้ว่า “แม่ไม่เคยเห็นลูกสาวของแม่มีชีวิตชีวาแบบนี้นับตั้งแต่หล่อนอายุสิบขวบแล้ว”


ทีนี้คนแต่งเขาก็มาคิดต่อว่า แล้วสิบขวบนี่มันตอนไหนนะ มันเป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มสูญเสียตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆเรียนรู้ว่าการเป็นเด็กดีทำอย่างไร เลิกเป็นตัวของตัวเอง และพยายามเป็นในสิ่งที่โลกคาดหวังให้เป็น


เอาล่ะ… เอาเงินฉันไปเลย รีบๆเอาเงินไป แล้วส่งหนังสือมาให้เร็วที่สุด ฉันต้องได้อ่านทันทีที่หนังสือมาถึง


ก่อนหน้านั้นก็โทรไปบอกแม่ โทรไปบอกเพื่อน พูดถึงหนังสือเล่มนี้แบบดูตื่นเต้นมากทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่าน (ขี้เว่อกว่านี้มีอีกมั้ย)


ระหว่างนั้นก็อ่านเล่มอื่นรอไปก่อน พอหนังสือมาถึงก็รีบแซงคิว เอาเล่มนี้มาอ่านก่อน แอบรู้สึกว่าใจเต้นตึกตักนิดหนึ่งด้วยตอนแกะกล่อง (เดี๋ยวนี้ชีวิตเราไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเท่าไหร่)


พอเริ่มอ่านก็ “ว้าววว…” แล้วก็ก็ว้าวหนักขึ้นเรื่อยๆ จนจบเล่มก็ยังว้าว


ปกติเวลาเราเขียนความรู้สึกถึงหนังสือที่อ่านจบ เรามักจะพิมพ์ในมือถือ เพราะถ่ายรูปปกหนังสือไว้ บางทีพิมพ์ๆไปก็จะอาจจะต้องเสิร์ชอะไรเพิ่มก็สลับหน้าต่างไปมาแล้วที่พิมพ์ไว้ก็หายไป ไม่เป็นไร มันอยู่ในหัว พิมพ์ใหม่ได้ จะได้ทบทวนอีกที


แต่กับเล่มนี้ไม่ใช่ เราถึงกับเปิดคอมมา นั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนตอนทำงาน แล้วเริ่มพิมพ์


เราไม่เคยพยายามเป็นเด็กดี ไม่ใกล้เคียงเลย ไม่เคยเชื่อง ดื้อตลอดไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที๋โรงเรียน และใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่สูญเสียตัวเองไป


ก็คิดว่าโตมาได้อย่างที่อยากจะเป็นนะ ทุกวันนี้ก็ทำอะไรได้ใกล้เคียงกับที่ตัวเองอยากจะทำ ที่ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆเพราะไม่ชอบ และก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดทุนอะไรด้วย (ก็ไม่ได้อยากทำนี่)


การสูญเสียตัวตนของเราค่อนข้างเกิดขึ้นช้า มันมาเกิดเอาตอนที่เราเริ่มทำงานแลกเงินนี่แหละ (ก่อนหน้านี้ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด ตราบใดที่มันไม่ได้เดือดร้อนใครมากนัก—จริงๆอาจจะมากก็ได้ 5555+)


แต่พอมาเป็นตอนโต ตอนเด็กๆที่เราไม่ยอมมาตลอด ก็เลยโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยยอมอยู่แล้ว แต่โตขึ้นก็สงบลงนะ ไม่ได้เป็นความสงบแบบที่ยอมศิโรราบ ยอมจำนนเพราะไม่มีทางเลือก แต่เป็นการยอมแบบที่เลือกที่จะยอมเพราะคำนึงถึงผลลัพธ์แล้วว่าทำแบบนี้จะดีกว่า


เอาจริงๆเราก็ใช้ชีวิตตามคติที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอกมาตลอด ถึงได้บอกไปตอนอ่านคาเฟ่สำหรับคนหลงทางว่ามันไม่เหมาะสำหรับคนไม่หลง


แต่โลกใบนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ดึงเราออกไปจากตัวตนที่เราเป็นได้เยอะมาก มันง่ายมากที่เราจะหลงทาง หรือสูญเสียตัวตน ซึ่งมันไม่แปลก และเราไม่ได้โง่


เราชอบที่เขาคุยกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ฟังเสียงหัวใจตัวเองเยอะๆ และมองโลกอย่างเข้าใจ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้อะไรที่เราขาด แต่มันเติมเต็มเราให้สมบูรณ์มากขึ้น


ตอนที่เราเด็กกว่านี้ ก็มีบางเรื่องที่เป็นกรงขังของเราเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วล่ะ


ถ้าคนที่ชอบและคบอยู่ด้วยเป็นผู้หญิง ก็สามารถบอกแม่ได้แบบชิวๆเลย แม่น่าจะหัวเราะก่อน 55555555


เราเข้าใจนะว่ามันยังมีกรอบของสังคม หรือความคิดหรืออะไรต่างๆที่อาจจะถูกมองแปลกๆ เมื่อก่อนลึกๆก็อาจจะแคร์อยู่บ้างมั้ง


เอาเรื่องนี้ไปคุยกับน้องที่รู้จักกัน (ไอ้คนที่ได้ MBTI อันเดียวกับเราและอ่านหนังสือคล้ายกันประมาณ 50-60% นั่นแหละ) นี่ก็เล่าว่าถ้ามีแฟนเป็นเพศเดียวกันก็จะบอกแม่นะ แล้วก็คงบอกคนนั้นด้วยว่า “อ่อ แม่เราไม่ติดนะ (อวดๆ) ถ้าพ่อแม่เธอไม่ยอมรับเรื่องนี้ เธอก็ไปคุยกับเค้าเองสิ ก็เธอเป็นลูกเค้านี่นา” (หมายความว่าประเด็นนี้ลูกก็ต้องคุยกับพ่อแม่ตัวเอง รับได้ไม่ได้ยังไงมันก็เป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวอ่ะ)


น้องบอก “ไม่ รอพ่อแม่ตายก่อนค่อยว่ากันอีกที”

นี่ก็ “เห้ยยยย ไรว้าาาาาาา ทำไมไม่สู้เลยอ่า สู้สิวะ แฮชแท็ก lovewins”

น้อง “ไม่ แฮชแท็ก moneywins”

 
Special Thanks to JT:
เรื่องนี้มีใครบางคนรู้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลยด้วยซ้ำ (เก่งจัง เท่ๆ) ขอโคว้ทประโยคเท่ๆของคนนั้นหน่อย รู้สึกว่าเท่มาก “ความสุขของเรา คือความสุขของเค้า(พ่อแม่)อยู่แล้ว”


ว้าววววว… เติบโตมาอย่างดี เป็นคนที่ Secure มากๆจริงๆนะ เธอแม่งโคตรบลอสซัมสำหรับเราเลย (อันนี้เอามาจาก แนวคิด Attachment Styles: Secure-Avoidant-Anxiety ในเพจ Kru Phu เค้าจบด้วยประโยคว่า ขอให้ทุกคนเจอบลอสซัมใของตัวเอง ***ถ้าเราจำไม่ผิดนะ ขอโทษจริงๆค่ะ เราเคยอ่านมานานมากแล้ว แต่ถ้าที่เพิ่งอ่านก็จะมี 500 ล้านปีของความรักเล่มสอง ก็พูดถึงแนวคิดเดียวกัน แต่แบ่งเป็น 4 กลุ่ม)


แต่ตอนนี้เราเลิกรอบลอสซัมแล้ว เราจะเป็นบลอสซัมให้ตัวเอง


หนังสือเล่มนี้ก็เขย่าความคิดเราแรงอยู่นะ คือมันไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอะไรเพราะเราก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด แต่มันช่วยปลอบใจและปลุกพลัง ทำให้เรามีความกล้ามากขึ้น ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ


เราอาจจะผิดก็ได้ แต่ทุกครั้งที่เราผิด ครั้งหน้าเราจะทำถูกมากขึ้น ดังนั้นไม่มีอะไรต้องกลัว เราไม่กลัว


จริงๆก็มีบางช่วงของชีวิตที่เรารู้สึกกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น หลังจากอ่านเล่มนี้จบก็ยิ่งฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม ขึ้นแท่นเล่มโปรดไปเลย ปกติแล้วเป็นคนรักหนังสือเป็นอย่างยิ่ง เวลาอ่านก็จะค่อยๆเปิด หนังสือก็ค่อนข้างจะใหม่อยู่เสมอ แต่คิดว่าเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือที่มีสภาพเยินๆได้ในอนาคต เราอาจจะต้องหยิบกลับมาเปิดดูอีกหลายครั้ง ก็ขอให้อยู่กับเราในช่วงเวลานั้น ตอนที่เราอาจจะต้องการคำปลอบใจ หรือแสงสว่างเล็กๆที่ปลายอุโมงค์


มีตอนที่อ่านแล้วร้องไห้ด้วยแหละ ไม่ได้เสียใจนะ ซาบซึ้ง เป็นเรื่องของลูกสาวเค้าที่ชื่อทิช กับฟุตบอลน่ะ


จริงๆนี่ก็โตมากับฟุตบอลนะ เล่นกับน้อง แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เล่นแล้วล่ะ เหมือนถ้าจะเล่นก็ต้องไปเล่นกับผู้ชาย เคยไปเตะบอลกับพนักงานขับรถที่ทำงานเก่าด้วยแต่แม่ไม่ชอบให้ทำแบบนั้นเท่าไหร่ จริงๆของที่ทำงานปัจจุบันก็เคยเล่นตอนกิจกรรมแผนก ได้รางวัล MVP เป็นกระเป๋าด้วยนะ มันจะมีงานกีฬาในนิคม ที่เป็นฟุตบอลหญิง นี่ก็ไปหาดูว่ามีบริษัทไหนส่งทีมแข่งบ้าง แล้วก็คิดว่า ถ้าต้องเปลี่ยนงานครั้งหน้า จะพิจารณาบริษัทเหล่านี้ดู 555+ ถึงกับเคยคิดแบบนี้ด้วย แล้วการหาข้อมูลเรื่องนี้เราเฝ้าติดตามมาเป็นเวลาหลายปีเลยนะ ไม่ใช่การค้นดูแค่ทีเดียวแล้วจบไป


ภรรยาของคนแต่งเป็นนักฟุตบอลที่น่าจะดังมากๆของอเมริกา สามีเก่าเค้าก็ชอบเล่นฟุตบอล ลูกสาวเค้าก็อยู่ทีมฟุตบอล รู้สึกว่าดีจัง เรื่องของทิชกับฟุตบอลเป็นบทที่อ่านแล้วสะเทือนความคิดเรามาก ทิชโคตรเจ๋งเลย


ฝากไว้อีกโคว้ท ที่ชอบมากจนต้องจด

หน้าที่ 178

“ฟังนะ เมื่อไหร่ก็ตามที่หนูต้องเลือกระหว่างทำให้คนอื่นผิดหวัง กับทำให้ตัวเองผิดหวัง หน้าที่ของหนูที่ต้องทำคือทำให้คนอื่นไม่ว่าจะกี่คนก็ตามผิดหวัง เพื่อที่ตัวลูกเองจะไม่ผิดหวัง”

ทบทวนตัวเอง

ช่วงนี้พยายามหาอะไรยึดเหนี่ยวหลังจากหมดภารกิจการเรียนป.ตรีอีกใบ

ตอนเรียนนิติ เราหลับง่ายมาก เพราะหนังสือหนามาก น่าเบื่อด้วย การต้องบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือตามแผนที่วางไว้ทำให้กิจวัตรประจำวันเราดีมาก นอนเร็ว ตื่นเช้า อาจจะไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็ค่อนช้างชิน

ตอนนี้พยายามนอนเยอะๆ แต่ก็พบว่าแถวบ้านเสียงดังมาก เราไม่ได้หลับง่ายเหมือนเดิม เมื่อก่อนอาจจะเหนื่อย ทำงานด้วยเรียนด้วย หัวถึงหมอนก็หลับเลย แต่ตอนนี้ต้องพึ่งตัวช่วย ทั้งผ้าปิดตาและที่อุดหู ไม่งั้นไม่ไหวจริงๆ หมาอะไรเห่าได้เห่าดี บางทีก็แมวเราเอง มาร้องและเคาะประตูห้องตอนดึกๆ

ตอนนี้เรื่องเรียนก็เบาลงมากแล้ว ก็พยายามจะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ ก็ทำงานนั่นแหละ ชอบทำ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าเค้าจะไม่ให้ทำ หรือไม่อยากทำเอง

พยายามทำงานบ้านให้เป็นเรื่องปกติ (เมื่อก่อนไม่ค่อยทำ) แต่ตอนนี้เวลาซักผ้าเสร็จก็จะพยายามรีด พับให้เรียบร้อย ไม่กองไว้ ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆนะ แต่เมื่อก่อนเราไม่ค่อยทำอ่ะ

ตอนนี้ก็พยายามออกกำลังกายให้มากขึ้น (ปั่นจักรยานในบ้านนี่แหละ ขี้เกียจออกจากบ้าน ร้อน) วันหยุดคิดว่าพอทำได้ แต่วันธรรมดานี่ค่อนข้างยากอยู่นะ แรงจูงใจ(รางวัล)ยังไม่ดึงดูดพอที่จะสร้างนิสัยชอบออกกำลังกาย ไม่ค่อยดีเลยเนอะ

พอเริ่มว่างก็เริ่มทบทวนตัวเอง เราชอบอ่านหนังสือและซื้อเยอะมาก เวลาซื้อซ้ำจะเจ็บใจมาก ขนาดใช้แอพช่วยบันทึกแล้ว แต่ช่วงไหนซื้อเยอะ แล้วปกบนเว็บไม่เหมือนกัน ของยังมาไม่ถึง ยังไม่ได้บันทึกลงแอพก็มีพลาดบ้าง 555

วันหยุดก็อ่านหนังสือนี่แหละ แล้วก็ชอบชงกาแฟ ชาก็ชอบ(ชอบมากกว่ากาแฟอีก) เวลาที่มีหนังสือในมือกับเครื่องดื่มแก้วโปรดอยู่ใกล้ๆ นั่นแหละช่วงเวลาสุดโปรดของเรา

แล้วก็ชอบทำอาหารบ้าง แต่ไม่ชอบตอนล้าง จริงๆไม่ได้ชอบทำอาหารหรอก แต่เรื่องมากบางทีก็ต้องทำเอง ที่บ้านก็เลยมีอุปกรณ์ทำครัวเยอะ รู้สึกครัวแคบไปเลย 555

วันนี้ก็ตื่นเช้ามา ฝึกกีต้าร์นิดหน่อย ปั่นจักรยานไป 30 นาที กินอาหารเช้าเป็นขนมปังที่ทำเอง(เครื่องทำ) แยมก็เป็นแยมโฮมเมด(เพื่อนทำ) เมื่อวานก็อ่านหนังสือจบไปหนึ่งเล่ม ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องก็คงดี

พยายามใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองชอบอยู่นะ อาจจะขาดเรื่องฝึกวาดรูป คิดว่าต้องฝึกให้เยอะขึ้น อุตส่าห์ซื้อหนังสือมาเยอะแยะ จริงๆไม่ต้งซื้อก็ได้ Youtube คลิปสอนเยอะ ดีและฟรี

แต่นี่ก็เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง และหบายๆคนนิดนึง การเสียเงินจะทำให้เราเสียดาย และขยันขึ้นมาได้นิดนึง (บางทีก็ไม่)

จริงๆก็อยากให้ตัวเองมีงานแปล ไปสมัครทดสอบแปลนิยายก็ไม่ได้ ก็เลยไปสมัครแปลการ์ตูน เขาบอกไม่มี due date พอไม่มี due date ก็คือไม่เริ่มเลย ทำไมเป็นคนแบบนี้~

เหมือนมีหนังสือสักเล่มพูดถึงคนแบบเป็ด นี่อ่านสารบัญคร่าวๆก็รู้สึกว่าเรานี่แหละ ไม่ต้องอ่านหรอก ทำหลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่างที่แท้ทรู 55555

ตอนนี้โตขึ้นจากเดิมเยอะ ก็พยายามจะ ちゃんとする แต่ก็นั่นแหละ ควรทำอะไรไม่ควรทำอะไรแล้วมันควรของใครล่ะ? ยังไงเราก็ทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้อยู่แล้ว

ก็เอาแต่พอดีๆ เรื่องงานเราก็ปล่อยวางไปเยอะ ถึงอยากจะทำให้มัน perfect (เพราะอาจจะถูกกดดันมาอีกที) แต่ในบทบาทหน้าที่ที่เป็นล่าม มันก็ทำทุกอย่างเองไม่ได้ พอยอมรับความจริงได้ก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว แค่พยายามทำในส่วนของตัวเองให้ดี และถ้าคนอื่นอยากให้ช่วยกผ้จะช่วยในเรื่องที่พอทำได้ไม่ลำบาก ถ้าลำบากก็ไม่ทำ

ตอนนี้สิ่งที่กลัวมากกว่าการไม่มีงานทำ คือกลัวหูตึง พอประชุมออนไลน์เยอะขึ้น ต้องใช้หูฟัง เราว่าเราเริ่มมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือน แต่ก็ไม่ค่อยสบายใจที่จะไปโรงพยาบาลตอนนี้

เท่ากับว่าตอนนี้ก็ไม่ได้มี target อะไร อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการทลายกองดองหนังสือ แต่เราซื้อในอัตรที่เร็วกว่าการอ่านมากๆ ดังนั้นยากที่จะอ่านหมด 55555

[หนังสือ] The Power of Habit พลังแห่งความเคยชิน

เมื่อคืนหยิบ Atomic Habits ขึ้นมาจะอ่าน แต่บทแรกๆอ้างถึง The Power of Habit ก่อน ก็เลยหยิบเล่มนี้มาอ่านก่อน

หนังสือไม่ได้บอกว่าเราสร้างนิสัยได้อย่างไรแต่บอกกลไกของนิสัยของคนและสัตว์ ผ่านงานวิจัยและกรณีศึกษาที่รวบรวมมาค่อนข้างเยอะ

ก็อ่านสนุกได้ความรู้อยู่นะ บางงานวิจัยเราก็เคยอ่านจากเล่มอื่นมาแล้ว แต่พอมาอ่านเล่มนี้ก็ได้มุมมองอีกแบบ

หนังสือไม่ได้บอกสูตรสำเร็จว่าเราต้องทำ 1-2-3-4 แต่หนังสือบอกเกี่ยวกับการทำงานของสมองที่ทำให้คนทำอะไร หรือไม่ทำอะไร โดยเขียนเป็นชาร์ตอย่างง่ายๆ สิ่งกระตุ้น-กิจวัตร-ได้รางวัล –> เกิดความโหยหา และอยากทำอีก

เราชอบเรื่องการจำลองสถานการณ์ของพนักงานสตาร์บัคส์ อันนี้ใช้ได้ดีกับการบริหารจัดการความเสี่ยงและความกลัวของเราเอง

เรากลัวไม่มีงานทำ เพราะเราค่อนข้างชอบทำงานประมาณนึงเลย อาจจะเข้าขั้นโรคจิต เสพติดงาน เหมือนต้องหาอะไรทำตลอด ไม่ชอบอยู่ว่างๆ ดังนั้นการไม่มีงานทำก็เลยเป็นสิ่งที่เรากลัวมาตลอด

แต่หลังๆเราเริ่มศึกษาเรื่องการวางแผนเกษียณ แล้วก็ได้แนวทางมาว่าอาชีพเรามันไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ พอคิดแบบนี้แล้วไปเจอแนวคิดให้ทำทุกวันเหมือนกับพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วตกงาน ก็เหมือนฝึกจำลองสถานการณ์

เหมือนเราดูหนังผี (เรากลัวผี) ดูครั้งแรกอาจจะกลัว ครั้งที่สองก็อาจจะยังกลัว แต่น้อยลงกว่าครั้งแรก ถ้าทนดูต่อไปได้สักสิบครั้งเราว่าเราคงไม่กลัวแล้ว

สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้คือการไปนั่งร่างแผน ว่าถ้าเกิดตกงานจริงๆจะทำยังไงดี (แต่ก็ยังก่อน เนี่ยดูสิ นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง)

ถึงจะยังไม่ได้คิดแผนไว้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเวลาคิดถึงเรื่องนี้แล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น และก็อาจจะเกิดขึ้นกับเราก็ได้ ไม่แปลกอะไรเลย

ตอนนี้ชอบกินไอติมตอนพักเที่ยง โดยเฉพาะวันที่เครียดกับงาน แต่มันก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะไอติมจะทำให้อ้วนขึ้น แล้วที่อ่านมาไอติมมันเย็น ทำให้เรารับรู้ความหวานได้ลดลง ผู้ผลิตก็เลยต้องทำให้มันหวานแบบหวานมากๆ เพื่อที่เย็นขนาดนั้นก็ยังคงความหวานได้อยู่ เหมือนสมองคนเราก็ถูกออกแบบมาให้หลงใหลในความหวานระดับซุปเปอร์น่ะ

ตอนนี้ในหัวก็ตีกันไปมา ระหว่างจะเลิกกินไอติมตอนพักเที่ยง หรือจะยังกินต่อไปดี

อีกนิสัยที่ไม่ดีคือไม่ค่อยออกกำลังกาย จะอ้างว่ายุ่งหรืออะไรก็แค่ข้ออ้างแหละ วันนี้ก็เลยตื่นมาปั่นจักรยานไปนิดหน่อย ไม่รู้จะทำได้กี่วันแต่จะพยายามทำเท่าที่ทำไหว

ตอนนี้ก็พยายามสร้างนิสัยชอบทำงานบ้านให้ตัวเอง หรือถึงแม้ไม่ชอบแต่ก็จะพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ

อาจจะไม่ถึงกับสะอาดเกลี้ยงเกลาอะไรขนาดนั้น แต่จะพยายามรีดผ้าพับผ้าให้เสร็จไปในวันหยุด จะพยายามไม่กองไว้

จริงๆมีหลายอย่างที่อยากจะทำ นี่เป็นคนบังคับจิตใจตัวเองได้ประมาณนึงถ้ามันจำเป็น แต่ส่วนมากที่ทำหรือไม่ทำอะไรก็เป็นเพราะเลือกจะทำแบบนั้นเองและไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาด้วย

สาระสำคัญของหนังสือคือนิสัยนั้นสร้างได้ เปลี่ยนได้ และมีหลายอย่าง รวมถึงวิธีการเปลี่ยนแปลงนิสัย ก็มีหลายร้อยพันวิธี เราอาจจะอ่านเรื่องของคนอื่นได้ แต่สุดท้ายก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่จะเลือกว่าจะเปลี่ยนนิสัยนั้นมั้ย หรืออยากให้คงอยู่ต่อไปดี

อีกเรื่องที่ชอบเกี่ยวกับเล่มนี้คือเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของบริษัทอัลโค ด้วยความที่ทำงานในโรงงานเรื่องนี้เลยค่อนข้างใกล้ตัว เดือนนี้เป็น safety month ด้วย

รู้สึกว่ากิจกรรมความปลอดภัยทุกๆปีก็น่าเบื่อ อยากให้เล่าเรื่องแบบบริษัทอัลโคบ้าง คือเวลามีใครเจ็บหรือตายมันก็ไม่สนุกหรอก แล้วก็ไม่ได้อยากให้มันสนุกด้วย แต่เราว่ากรณีศึกษาบริษัทอัลโค กับไฟไหม้สถานีรถไฟคิงส์ครอส หรือความผิดพลาดในห้องผ่าตัดเป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก คือนี่ไม่ได้แปลเซฟตี้หรอก แต่ได้แปล Why-Why, Furikari, Hansei เกี่ยวกับคุณภาพบ่อยๆ มันเอาไปประยุกต์ใช้ด้วยกันได้น่ะ

ก็รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ดีนะ อาจจะไม่ได้ว้าวอะไรมากแต่ก็อ่านได้เรื่อยๆและมีประโยชน์ดี ไม่ได้น่าเบื่อจนหลับ แต่ก็ไม่ได้สนุกตื่นเต้นระทึกใจอะไร แต่รวมๆก็คืออ่านดีมีประโยชน์

สิ่งที่ได้จากการเรียนป.ตรีอีกใบ

ช่วงก่อนหน้านี้ประมาณสามปี เราไม่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับเลยเพราะเรียนนิติ แค่หยิบหนังสือมาอ่าน ไม่เกิน 3 หน้าก็หลับสบาย

สิ่งที่ได้จากการเรียนกฎหมาย คือกิจวัตรประจำวันเราดีขึ้นมากๆ เข้านอนเร็ว ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือ ถึงจะไม่ได้ทำทุกวันแต่ก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ จัดตารางการอ่านหนังสือเรียน แล้วพยายามทำให้ได้ตามนั้น

เป้ายหมายคือการเรียนจบ ซึ่งค่อนข้างแน่ใจว่าเข้าใกล้เป้าหมายมากๆแล้ว ก็แค่รอดูผลจากสิ่งที่ทำไว้

พอจบเป้าหมายที่ชัดเจน ตอนนี้เราก็เหลือแค่สิ่งที่อยากทำ แต่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ อย่างเช่น การเรียนสัมฤทธิบัตร (อารมณ์ประมาณตลาดวิชา ลงวิชาไหนก็ได้ไม่มีเงื่อนไขใดๆ)

ถ้าลงเป็นหลักสูตรป.ตรี มันจะเป็น step-by-step ถ้าลงทะเบียนเรียนตามไกด์ไลน์ที่เค้าให้มา มันก็จะเรียงจากง่ายไปหายากอยู่แล้ว เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีพัฒนาการ จากเรื่องที่ไม่รู้ ก็กลายเป็นรู้นิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆรู้มากขึ้น

เรายังไม่เห็นผลจากเนื้อหา(ความรู้ทางกฎหมาย) ที่เราเรียนไปเท่าไหร่ เพราะยังไม่ได้ใช้ แต่สิ่งที่ได้คือวิธีเรียนด้วยตัวเอง ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน บอกเลยว่าที่เรียนในระบบจนจบมาประกอบอาชีพ ไม่ได้สอนให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองเลย จริงๆอาจจะสอนแล้ว แต่สภาพแวดล้อมที่มีครูสอน มีเพื่อนติวให้ อ่านหนังสือบ้างนิดหน่อยทำให้เราเรียนจบมาได้โดยไม่ต้องพยายามเอาชนะใจตัวเองมากนัก

เมื่อคืนอ่าน the power of habit เกี่ยวกับการวิจัยเรื่องเอาเด็กมาทดลองโดยวางขนมมาร์ชเมลโล่ไว้ แล้วบอกเด็กว่าถ้าอดทนรอจะได้ขนม 2 ชิ้น แต่ถ้ากินเลยจะได้แค่ชิ้นเดียว ก็มีเด็กบางคนรอ บางคนไม่รอ แล้วหลังจากนั้นก็มีการติดตามผล พบว่าเด็กที่อดทนรอมีผลการเรียนดีกว่า หมายถึงมีนิสัยฝึกอดทนทำอะไรที่ตอนทำมันอาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีมากนัก แต่ถ้าทำได้ก็จะมีรางวัล

ก็ทฤษฎีจิตวิทยาพื้นฐาน การให้รางวัล การเสริมแรง

แต่ช่วงก่อนหน้านี้ เราได้ไปแปลการซ้อมนำเสนอเอกสารเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เป็น management (เรากับพี่ล่ามชอบเรียกว่าสอบจอหงวน)

คือพี่คนที่ไปแปลให้ เป็นแผนก Pro Eng. เนื้อหาก็ไม่ใช่หน้างานเรา คนเราก็ไม่คุ้นเคย เอกสารก็ไม่ได้ก่อน เพราะล่ามคนที่ต้องแปลลา->พี่ล่ามรับแทน แต่มีเหตุให้เขาต้อง WFH->เราเข้าแทน

ไม่ได้เอกสารก่อนด้วย แต่ก็ไม่อยกลัวเวลาแปลสอบจอหงวน เพราะเนื้อหาที่ดีไม่ควรพูดเรื่องเทคนิคอล แต่ควรเป็นเรื่องที่ใครๆก็เข้าใจ หลายๆคนก็จะถูกโค้ชชิ่งว่าให้เอาไปพูดให้ภรรยาฟัง ถ้าภรรยาฟังแล้วเข้าใจก็โอเค

กลับมาที่เรื่องการให้รางวัล การเสริมแรง ตอนเราแปลให้พี่คนนี้ เราชอบคอมเม้นคุณลุง VP มาก

สถานการณ์ตอนนั้นคือพี่เขาพูดเรื่องการหาไอเดีย cost down เพิ่ม motivation ด้วยการประกวดแล้วให้รางวัล

แต่ลุง VP คอมเม้นว่า จะให้รางวัลก็ได้นะ แต่ผมคิดต่างออกไป คือมันเหมือนกับ 犬にえさをやる。 ->ให้อาหารหมา แต่เราทำงานกับคนนะ และมันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าไม่มีรางวัลก็จะไม่ทำเหรอ

ว้าวววว

นี่มันมุมกลับของงานวิจัยเรื่องการปรับเงินผู้ปกครองที่มารับลูกช้าที่เขียนไว้ใน Freakonomics นี่นา อันนั้นเป็นการลงโทษ อันนีเป็นผลเสียของการให้รางวัล

ว้าววววววววว

วันนั้นเป็นวันที่คิดว่า “ดีจังที่ได้แปลแทนพี่ล่าม”

ส่วนมากงานเรา โดยหน้าที่เราไม่ต้องไป manage คนอื่น manage ตัวเองให้ดีก็พอ การไป manage คนอื่นอาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้

แต่ปัญหาใหญ่ๆของล่ามก็คือความซวยเวลาเจอคนพูดไม่รู้เรื่องแต่เราต้องแปล

ตอนแรกเราก็มีปฏิกริยาเชิงลบ แสดงออกทางสีหน้า หรือตำหนิบ้าง

แต่คนที่พูดไม่รู้เรื่อง ก็ยังคงพูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม

มีวันหนึ่ง เราเผลอตำหนิพี่คนนึงไปด้วยถ้อยคำที่เราคิดว่ามันไม่เหมาะสม คือไม่ได้หยาบคายนะ แต่เราว่ามันไม่ดี จะแก้ตัวว่าตอนนั้นต้องแปลไปด้วย มีเวลาคิดแค่ไม่กี่วินาที เลือกคำที่เหมาะสมไม่ทัน แต่พูดไปก็แก้ตัวอยู่ดี ก็ยอมรับโดยดีกว่าพูดไม่ค่อยดี

รู้สึกผิด พอเดินสวนกับพี่เค้าในโรงงาน ก็เลยขอโทษเค้าไปที่พูดไม่ดี

สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือพี่เค้าก็ขอโทษเราเหมือนกัน เค้าบอกว่าเค้าเตรียมตัวมาไม่ดีเองเลยอธิบายได้ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ขอโทษเรา

มันทำให้เรารู้ว่า user ไม่ได้อยากพูดไม่รู้เรื่อง เค้าไม่ได้ตั้งใจนะ (ถ้าเป็นเชิงปรัชญา มันก็จะมีความเขื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นดี กับธรรมชาติของมนุษย์นั้นเลว กรณีนี้เราเลือกจะเชื่ออย่างแรก)

หลังจากนั้นถ้าเราอยากจะ “ทำตัวดีๆ” ก็มักจะใช้การชื่นชมแทน เวลาคนที่พรีเซ้นต์ไม่เก่ง พยายามเตรียมตัวมาอย่างดี แล้วอธิบายง่าย เข้าใจง่าย เราก็จะชมเค้าตอนนั้นเลย

แต่เวลาที่คิดว่าเราลำบาก แปลไม่ได้เพราะคนพูดพูดไม่เข้าใจ ก็จะพยายามอดทนไว้ พยายามลดจำนวนครั้งที่ตำหนิลง (แต่บอกเลยว่าเราไม่ได้ทำได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น)

พอทำแบบนี้แล้วโดยรวมก็รู้สึกว่าทำงานแล้วแฮปปี้ขึ้นนะ

ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ชอบวันจันทร์ แต่ก็ยังรู้สึกชอบคืนวันศุกร์มากกว่าวันอื่นๆ รู้สึกว่างานก็เป็น task ที่ต้องแก้ เหมือนเราเล่นเกมแล้วทำเควสท์แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเพื่อหาเลี้ยงความตาย (คำนี้ได้มาจากหนังสือ เงินหรือชีวิต)

ตอนนี้อ่านหนังสือตระกูล habit ต่างๆ ก็ตื่นแต่เช้า ออกกำลังกาย ทำความสะอาดบ้าน (จริงๆให้โรบอทดูดฝุ่นทำ) สายหน่อยก็ชงกาแฟด้วย moka pot แล้วเทลงบนไอศกรีมที่ทำเอง(สูตรง่ายๆที่ใช้ส่วนผสมแค่ไม่กี่อย่าง) วินาทีที่จิบกาแฟ ก็คิดว่า “ฉันชอบวันหยุดจัง”

ตอนนี้เราไม่ได้ต้องบังคับตัวเองให้เรียนแล้ว ก็จะใช้เวลาในวันหยุดกับกิจกรรมที่อยากทำ สำหรับเราก็คืออ่านหนังสือ โดยมีเครื่องดื่มที่ชอบวางไว้ใกล้ๆ

จริงๆก็คิดว่าถ้าพยายามสร้างนิสัยที่ดีมากกว่านี้สักหน่อย พยายามให้เหมือนตอนเรียนกฎหมาย ก็น่าจะดีกว่านี้

แต่ก็เลือกที่จะไม่ได้ทำตามหนังสือตระกูล habit ทั้งหมด เลือกมาแค่เรื่องที่ชอบ เราชอบเรื่อง “การจำลองสถานการณ์”

ก็สอดคล้องกับแนวคิดที่ได้มาจากหนังสือของ Austin Kleon เรื่องการแกล้งเป็นคนที่เราอยากจะเป็น จนกว่าจะเป็นได้จริงๆ (ไม่ได้หมายถึงการปลอมตัวเป็นคนอื่นนะ) สำหรับเราคือการที่เรามีงานอดิเรกคือการวาดรูปเล็กๆน้อยๆ เราก็ทำตัวยังกับตัวเองเป็นนักวาดมืออาชีพเลย ซื้ออุปกรณ์จริงจัง ซื้อหนังสือ โต๊ะทำงานต้องเท่ๆหน่อย ตอนนี้ฝันนั้นก็ยังอีกยาวไกลเลยล่ะ แต่เวลาเห็นโต๊ะทำงานที่ดูเป็นนักวาด(ถึงจะปลอมๆ)ก็แฮปปี้ดีนะ รู้สึกว่า “ว้าว เท่จัง”

กลับมาที่เรื่องจำลองสถานการณ์ เดี๋ยวคงเขียนละเอียดๆอีกทีตอนรีวิวหนังสือ แต่วันก่อนไปฟัง clubhouse มาเรื่องวางแผนการเงิน ได้คำเด็ดๆสำหรับคนทำอาชีพอิสระคือ “ใช้ชีวิตให้เหมือนกับพรุ่งนี้ตื่นมาจะไม่มีงานทำ” เราชอบแนวคิดนี้ ซื้อ! เมื่อก่อน panic เรื่องนี้นิดหน่อย แต่พอ panic บ่อยๆก็เริ่มชิน

next step ก็คงไปนั่งร่างแผน ว่าถ้าเกิดไม่มีงานทำขึ้นมาจริงๆจะทำอะไรต่อมั้ง

อย่างน้อยตอนนี้เบื้องต้นก็ไม่ได้ตกใจเวลาคิดแบบนี้แล้วล่ะ

ตอนนี้เริ่มศึกษาเรื่องการเงิน ส่วนมากก็จะเจอว่าคนเราควรวางแผนให้มีเงินสำรองฉุกเฉินให้พออยู่ไปได้สัก 6 เดือน – 1 ปี หากไม่มีรายได้ (ก่อนจะไปลงทุนอ่ะนะ — บางคนก็อาจจะมองว่ามันเสียโอกาส ลงทุนก่อนรวยก่อน แต่เราเป็นคนขี้กลัว ก็เลยเลือกได้แค่แบบนี้จริงๆ ก็อยากเป็นคนกล้าได้กล้าเสียอยู่หรอกนะ แต่ดันใช้ชีวิตแบบเพลย์เซฟมาทั้งชีวิต เราไม่เก่งเรื่องเสี่ยงๆเลย)

ให้คิดจากค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งเราก็ยังเก็บได้ไม่ถึงเลย (ตอนนี้น่าจะเก็บได้แค่ 3 เดือนเอง)

ตอนแรกคิดว่าจะลงเรียนสัมฤทธิบัตรทุกวิชาที่อยากเรียน แต่ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วว่า เอาเงินมาซื้อหนังสือที่อยากอ่านจะคุ้มค่ากว่า ข้อมูลค่อนข้างอัพเดตกว่า สนุกกว่าสำหรับเรา

แล้วจะรู้มั้ยว่าฝนจะตก

วันก่อนบ่นเรื่องขนส่งโยนกล่องเข้ามาในบ้าน

แล้วคือช่วงนี้ฝนตก เราชอบสั่งหนังสือ ถ้าห่อบับเบิ้ลมาดีๆ กล่องกระดาษอาจจะเปียก แต่ของข้างในไม่เป็นไร แบบนี้โอเค แต่บางร้านพันบับเบิ้ลมาบางมาก (น่าจะรักษ์โลก) ถ้าปิดไม่สนิทก็มีสิทธิ์เปียกอ่ะ

นี่ก็ไม่สบายใจเพราะช่วงนี้สั่งหนังสือบ่อย ก็เลยไปหาถังเปล่าๆมีฝาปิด (แม่ชอบขนจากบ้านแม่มาไว้บ้านเรา) ตอนแรกก็เอาถังสองถัง วางซ้อนกันให้สูงหน่อย วางไว้ใกล้ๆรั้ว แบบโดดๆ เลยนะ

คือกะว่าถ้าเขาโทรมา จะบอกให้เอากล่องใส่ถังไว้ แต่ครั้งแรกก็ยังเจอของวางบนพื้น

โธ่ถัง! (ที่หมายถึงถังจริงๆ) น้องไม่ถูกใช้งาน

เมื่อเช้าเอาใหม่ เปลี่ยนที่วาง เป็นเก้าอี้ ลากมาวางให้กลางๆ เอาให้เด่นกว่าเดิม

นี่ก็ทำงานไป สักพักฟ้าครึ้มมาเลย พี่ในแผนกแซว เอาแล้วๆๆๆ จะกลับบ้านไงเนี่ย (เค้ารู้ว่านี่เด็กแว้น หมายถึงขึ้นรถรับส่งแล้วแว้นมอไซกลับบ้าน)

นี่บอกกลับบ้านไม่เท่าไหร่ มีเสื้อกันฝน แต่สั่งของมาแล้วเป็นหนังสือนี่ดิ ซวยแล้วววว

เห็นเมลล์มา บอกว่าพัสดุส่งแล้ว นึกในใจ แม่งซวยละไม่มีเบอร์บ.ขนส่งด้วย แต่มีเลข Track ก็เลยเอาเลข Track ไปกดติดตามในเว็บของ บ. ได้เบอร์คนส่งของมาชื่อคุณช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างรึป่าวววว – – – ช้างเฉยๆก็พอ

“สวัสดีค่ะ คุณช้าง ส่งของ บ. abc ใช่มั้ยคะ ถามเรื่องพัสดุของบ้านเลขที่… หน่อยค่ะ เห็นว่าส่งของแล้ว วางไว้ตรงไหนคะ”

“ผมวางไว้ในบ้านอ่ะ”

“อืม.. ข้างนอกตรงพื้นใช่มั้ยคะ”

“ใช่”

“ฝนมันตกอ่ะค่ะ แล้วถ้าวางบนพื้นมันจะเปียกนะ คือทำไมไม่โทรมาก่อน”

“ถ้าผมโทรพี่จะได้ของช้ามากๆเลยนะ ผมส่งตั้งกี่บ้าน ผมก็อาศัยว่ารู้ๆจักกัน ทุกบ้านก็ต้องส่งแบบนี้ (เดี๋ยวๆใครรู้จักเอ็ง)”

“แต่ตามกฎแล้วต้องโทรไม่ใช่เหรอคะ”

“ก็ใช่ แต่พี่ ผมส่งหลายบ้านนะ (บลาๆๆ แก้ตัว)”

“ก็ถ้าตามกฎก็คือต้องโทรนะ ถ้าของเสียหายพี่เคลมนะ โอเคมั้ย”

“อ่ะๆๆ ยังไงผมก็ผิดอยู่ดีอ่ะแหละ บ้านเลขที่อะไรนะครับ”

นี่ก็บอกไปอีกที “คือพี่ไม่ได้จะว่าอะไร แต่ถ้าของเสียหายก็ต้องเคลมถูกมั้ยคะ คือคนสั่งของก็อยากได้ของอันนี้ก็ต้องเข้าใจลูกค้านิดนึงนะคะ ที่ถามว่าเราวางไว้ตรงไหน เพระาพี่ไม่อยากให้หนังสือเปียกเฉยๆ”

“ก็ตอนผมไปส่งฝนมันไม่ตกอ่ะ ผมจะรู้ได้ไงว่าฝนมันจะตก” (อืมมมม.. ตกลงฉันเป็นลูกค้า หรือเขาเป็นลูกค้า ฉันงงแล้วหนึ่ง เหมือนฉันต้องปลอบที่เขาโวยวายหน่อยๆอ่ะ แต่ฉันเป็นลูกค้านะ)

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยค่ะ ถามเฉยๆว่าวางไว้ตรงไหน ถ้าออกมายังไม่ไกลแล้วกลับไปได้ อยากให้ช่วยกลับไปเอากล่องใส่ถังสีดำบนเก้าอี้ให้หน่อยค่ะ”

“อ๋ออออออออออ ถ้าพี่พูดแบบนี้ผมนึกออกแล้วครับ บ้านเลขที่… ใช่มั้ยครับ ผมเอาใส่ในถังให้ตั้งแต่ตอนส่งแล้วครับ”

“ถ้างั้นก็โอเคค่ะ งั้นไม่ต้องทำอะไรแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

เห้อออออออ เหนื่อย นี่ก็แว้นมอไซกลับบ้าน เห็นว่าฝนตกนิดหน่อย ขึ้นเกียจหยิบเสื้อกันฝนมาใส่ ขี่มอไซตากฝนไป ทำ MV (ไม่ดีนะ)กลับมาบ้านคือคนเปียกซ่กไปทั้งตัว แต่พัสดุที่อยู่ในถังปลอดภัย แห้งสนิทดี

นึกย้อนไปถึงคำพูดคุณช้าง “แล้วผมจะไปรู้ได้ไงว่าฝนจะตก”

นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็คิดเผื่อเอาไว้ว่าถ้ามันตกจะทำยังไง ก็เลยเตรียมถังใส่ของไว้ไง

เราเชื่อว่าการออกแบบที่ดี จะทำให้ชีวิตคนเราง่ายขึ้น

คิดว่าอยากได้เป็นเหมือนกล่องที่เลื่อนเข้าเลื่อนออกได้ เหมือน โรบอท เปิดฝา-รับของ-ปิดฝา-เลื่อนเข้ามาเก็บในบ้านก็คุยไอเดียนี้กับพี่ในแผนก พี่เค้าก็แบบ เออ เจ๋งว่ะ น่าสนใจ แต่แบบนั้นแพงไป เอาเป็นระบบลูกรอกมั้ย แล้วให้ขนส่งดึงให้กลับเข้าไปในบ้าน

ก็ดีนะ นึกถึงถังลิฟท์ส่งขนมขึ้นชั้นบนตอนอยู่หอใน สมัยมหาลัย ที่หอหญิงจะมีเวลาปิด หิวดึกก็ให้เพื่อนมาส่งเสบียงได้

ตอนขี่มอไซจะเข้าบ้าน เจอยายคนนึงเดินกะเผลกๆ นี่ก็รับแว้นรถเข้าไปหายาย ชนยาย… (จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำแบบนั้น)

เข้าไปถามยายว่าจะไหน ยายก็บอกหน้าหมู่บ้าน นี่ก็บอกยายขึ้นมาเลย เดี๋ยวหนูไปส่ง คือมันไม่ไกล แต่ฝนตกแล้วยายก็เดินกะเผลกๆน่ะ

เอ้อ…ทำเรื่องดีๆก็เป็นนะเรา ปกติทำบาป 555555

ขอเล่าเรื่องงานด้วย (วันนี้เล่ายาว)

ลุงหัวหน้าเรา Work From Japan กักตัวอยู่โรงแรม แต่ใกล้จะได้ออกแล้ว

แผนกก็ให้ลุงยืมคอมไปเครื่องนึง นี่ก็ set up ให้ มีปัญหาก็คอย support คือเป็นล่ามควบ IT Helpdesk ให้ลุงไปเลย

ทีนี้ลุงก็จะมีปัญหาต่อ VPN ไม่ได้บ่อยๆ นี่ไล่เช็คทีละ step จนตอนนี้ระบุสาเหตุได้แล้วว่า Wi-Fi คอมลุงที่ออฟฟิศมันชอบตัดเองก็แค่กด connect Wi-Fi ใหม่ก็ได้แล้ว

นี่ก็แกล้งลุง พอเค้าบ่นว่าต่อ VPN ไม่ได้ นี่ก็จะ reconnect ให้ แล้วก็บอกว่าชั้นใช้เวทมนตร์ให้แล้ว!

เค้าก็ส่งเมลคุยกับลุง VP subject เมลล์คือ 魔法 ก็รายงานเรื่องปัญหาต่อ VPN ไม่ได้ แล้วก็บอกว่าเราใช้เวทมนตร์แก้ไขให้แล้ว นี่ก็อธิบายอาการของปัญหาและวิธีแก้เบื้องต้นไป แต่ก็บอกว่าสาเหตุที่แท้จริงคือ Wi-Fi มันตัดเอง ลุง VP ก็โคมะรุๆ (แบบนี้ก็ลำบากแย่สิ) ก็มาตามเราให้ไปจิก IT มาแก้ปัญหาให้ Wi-Fi ไม่ตัดเอง ขู่ว่าถ้า IT เห็นเป็น local staff ด้วยกันแล้ว support ไม่ดีก็เอาชื่อคนญี่ปุ่นมา เดี๋ยวผมติดต่อเอง

น้อง IT มาทำดูให้แล้วแต่ตอนนี้ก็ยังแก้ไม่ได้ คือทำได้แค่ต่อให้ใหม่ตอนมันหลุดเท่านั้นแต่ปัญหาคือเวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ลุงทักไลน์มาตีห้า ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆนี่ก็อธิบายรายละเอียดไปทางเมลล์ แบบ IT มาแก้ให้ก็ถามว่าทำอะไรไป step ถัดไปจะทำอะไร พอส่งเมลล์บอกลุงก็บอกทางแก้เบื้องต้นให้

บอกว่าถ้าวันไหนเรา WFH จะหาคนมาต่อ Wi-Fi ให้ถ้ามันหลุดนะ แต่ให้ทำใจว่าถ้าเช้ามากๆอาจจะยังไม่มีใครมาออฟฟิศลุงก็เข้าใจ

วันนี้ก้อทักมาแบบกะเวลาที่เราถึงออฟฟิศพอดี บอกว่า “ช่วยใช้เวทมนตร์ให้หน่อยครับ”

จ่ะ… ชั้นเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ ปุอิ๊ง ปุอิ๊งงง~😘

ล่นอะไรไป… ละอายแก่ใจบ้างงงง

วันนี้นัดเวลา น้องไอทีก็มาทำให้ นี่ก็บอกเค้าว่า “อัพเดตวินโดวส์แล้วจะหายมั้ยคะ คือถ้าน้องทำแล้วมันไม่หาย คนเดือดร้อนไม่ใช่แค่น้องกับพี่แล้วค่ะ VP พี่จะตามคนญี่ปุ่นหัวหน้าน้องแล้วค่ะ อันนี้ไม่ได้ขู่นะ แต่เป็นแบบนี้จริงๆ คือบางทีเค้าก็รอเรานานๆไม่ได้อ่ะ”

ไม่อยากจะเม้าท์ แต่ขอนิดนึง ตอนโทรแจ้งแผนกไอที โทรติดยากมากกกกกกกกกกกก หลังๆรู้ทัน เมลล์ทวงเอา 555+

พอโทรติดตามให้รีบมาทำ (ตอนนั้น VP แทบจะกินหัวเราอยู่แล้ว) คนรับเรื่องก็บอกว่า จริงๆถ้ามันเป็นอีก คนญี่ปุ่นเค้าเข้าผ่านมือถือได้นะ ให้เข้าประชุมผ่านมือถือไปก่อน

เหม่อเลย… ตอบแบบนี้รู้เลยว่าจะโดนด่า อย่าตอบดีกว่า มันดูไม่ใส่ใจจะแก้ปัญหาอ่ะ แบบ เธอออออ งานเซอร์วิสอ่ะเธอออออออออออ่ะ

กลับมาที่น้องไอที ที่กำลังจะอัพเดตวินโดวส์ นี่ก็ถามน้องว่า อัพเดตวินโดวส์แล้วจะช่วยอะไรได้มั้ยน้องบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ อาการแบบนี้ผมก็ไม่เคยเจอ”

เอ๋าาาาาาาาาาาา ไหงงั้นล่ะ

นี่ก็บอกน้องไปว่า “งั้นเอางี้มั้ย น้องหาสาย LAN มาเส้นนึง แล้วต่อ LAN แทน ไม่ใช้ Wi-Fi ได้ไหม”

โต๊ะลุงไม่มี Port LAN cable และเราเข้าใจเรื่องที่น้องไม่อยากลากสายยาวๆเพราะมันข้ามทางเดิน เดี๋ยวมีคนเดินสะดุด กลายเป็นปัญหาเซฟตี้อีก แต่ตอนนี้ที่ office ทำ social distancing ก็คือโต๊ะข้างๆโต๊ะเราจะว่าง เพราะพี่ที่นั่งโต๊ะนี้ไปนั่งอีก office

น้องไอที “สาย LAN ยาวผมไม่มีอ่ะ”

ฉัน “สายสั้นก็ได้ น้องย้ายคอมเค้ามาโต๊ะว่างข้างๆพี่ก็ได้ค่ะ”

น้องก็โอเคที่ไม่ต้องลากสายยาวๆ เค้าก็มาย้ายคอมให้ เรียบร้อย ไอพีเปลี่ยน นี่ก็ไลน์ไปบอกไอพีลุง ว่าต่อไปรีโมทใช้ไอพีนะ

ที่คนญี่ปุ่นสองลุงวนเวียนมาจ้องจะกินหัวดิฉันเนี่ย เพราะเขากลัวเรา Work From Home แล้วถ้ามันตัดเองแล้วจะไม่มีใครต่อ Wi-Fi ให้ใหม่ แต่บอกเลยเรื่องนั้นไม่มีปัญหา ฝากน้องคนอื่นในแผนกได้ แต่เรื่องที่เราว่าเค้าเดือดร้อน(และบอกตอนตีห้าเราก็เดือดร้อน) ก็คือเวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยนี่แหละ วันที่ทักมาตีห้าครึ่ง บอกว่ารีโมทไม่ได้ ถึงนี่จะตื่นแล้ว (ปกติตื่นเช้า) แต่อยู่บ้านอ่ะ ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ช่วงอาิทตย์ที่แล้วกบัอาทิตย์นี้พอถึงออฟฟิศ สิ่งแรกที่ทำก็คือเช็คคอมลุงว่า Wi-Fi ต่ออยู่มั้ย หลอนเสียงฝีเท้าลุง VP ไปเลย โดนตามหลายเรื่อง

หวังว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะ ประสาทจะกินมาหลายวันแล้ว (หมายถึงมันมีหลายเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องนี้อย่างเดียว) จะได้ WFH แล้วนั่งแปลงานเอกสารชิวๆบ้าง วิ่งวุ่นมาหลายวันแล้ว

ระหว่างที่นั่งเป่าผม

25-26 นี้จะสอบกฎหมายภาษีอากร กับ ภาษาจีน
ภาษีนี่อ่านได้ 12 จาก 15 บท แต่บอกเลยว่าอ่านนานแล้ว ลืมหมดแล้ว ให้สอบก็สอบไม่ผ่าน แล้วมีอัตนัยให้คิดภาษี นี่ตอบได้แค่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบเดาๆด้วย ถ้าออกภาษีของนิติบุคคลคือจบเลย สวัสดีมีชัย

เบื่อก็เลยไปพยายามอ่านภาษาจีน เพิ่งจบบทที่ 3 แล้วก็พบว่า กุโง่มาก จำเหี้ยอะไรไม่ได้เลยจ้า คือพอมาเรียนแบบนี้เข้าใจความรู้สึกของเด็ก และตัวเองตอนเด็กๆเลย เอ้อ ก็กุไม่เข้าใจอ่ะ กุโง่ไง! แล้วจำอะไรไม่ได้เลย

คำนวณแล้วเวลา 20 กว่าวัน กับการพยายามเรียนภาษาจีน เป็นไปไม่ได้ที่จะสอบผ่าน ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อสอบกาทั้งหมดก็ตาม ดังนั้นไม่ต้องอ่านแล้ว เสียเวลา สำหรับเราสอบผ่านก็ได้กระดาษแผ่นเดียวจริงๆ (วิชานี้ยังไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไร) ดังนั้นพอเถอะ อย่าฝืน

ก็เลยคิดว่าเวลาที่เหลือเนี่ย จะเอาไปอ่านกฎหมายภาษีอากรแทน(พูดไปงั้นแหละ ขยันก็อ่าน ขี้เกียจก็ไม่อ่าน)

2 วิชานี้เป็นวิชาที่ รู้ไว้ก็ดี แต่ยังไม่ได้ใช้ตอนนี้ (ภาษีอากรที่เราใช้จริงๆก็ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา – ก็เข้าใจแบบยื่นเองได้ แล้วก็มีแรงกระตุ้นที่จะพยายามลดหย่อนภาษี เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ)

พอได้ข้อสรุปแบบนี้ ก็เลยไม่อ่านแล้ว ไปทำงานบ้านแทน ซึ่งมันเหนื่อยกว่านั่งอ่านหนังสืออีก นี่ทำชุดใหญ่ บอกตรงๆว่าปกติไม่ค่อยทำ เสาร์อาทิตย์คือแค่ซักผ้า (เครื่องซัก) กับเปิดโรบอทดูดฝุ่น(ก็เครื่องทำอีกนั่นแหละ) ห้องน้ำจะขัดเมื่ออยากอ่านหนังสือ
รีดผ้าเอาแค่พอใส่ไปทำงาน แค่นี้ก็หมดวันหยุดแล้ว

เมื่อวานเคลียร์น้ำแข็งหนาๆในช่องฟรีซออก วันนี้คือเก็บทุกอย่าง เช็ดครัว ถูครัว ล้างห้องน้ำแบบจัดเต็ม เหลือพับผ้ากับรีดผ้า แต่เหนื่อย พักก่อน เดี๋ยวหน้ามืด แง…อายุก็มากแล้วจริงๆ วันธรรมดาก็ทำไม่ไหว กลับบ้านมาก็คือสลบ

เดี๋ยวต้องหาอาหารกินอีก พอทำอาหารก็ล้างจาน

จริงๆถ้าใช้เงินแก้ปัญหาชีวิตก็จะสบายขึ้นนะ
อย่างเครื่องอบผ้านี่มีน่าจะสบายขึ้นเยอะ แต่ก็แบบ แพงง่ะ ถ้าอยู่กันหลายคนอาจจะน่าสนใจ แต่ตอนนี้มองว่าไม่คุ้ม

หรือเรื่องทำความสะอาดบ้าน จริงๆถ้าจ้างแม่บ้านมาอาทิตย์ละครั้ง หรือสองอาทิตย์ครั้งก็น่าจะได้ แต่แม่ก็บอกว่าบ้านแกเล็กนิดเดียว ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ ทำทุกวันมันก็ไม่เยอะ ก็จริง แต่ถ้างานยุ่งๆก็ไม่อยากทำ แล้วนี่กลับมาบ้านคืองานยุ่งกว่าออกไปทำงานอีก

ช่วงนี้น่าจะค่อยๆดีขึ้น จะพยายามจัดระเบียบชีวิตตัวเอง เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องทำงานบ้านเท่าไหร่ มองว่ามันมีประโยชน์น้อยกว่าไปทำอะไรที่อยากทำน่ะ แต่พอตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่า มันอาจจะไม่สนุก แต่มันก็เป็นงานงานหนึ่งของมนุษยชาตินะ (ว่าซั่นนนนน)

เข้าใจและเห็นใจคนที่เป็นแม่บ้าน พออยู่บ้านแล้วอาจจะถูกมองว่าไม่ได้ทำอะไร อยากจับคนพูดมาบีบๆแล้วบอกว่าเมิงลองมาทำเองดูสักวันนะ 5555 แล้วเป็นงานที่ทำแล้วไม่จบไม่สิ้นด้วยนะ ตราบใดที่คนเราต้องกินต้องขี้ งานบ้านก็จะยังมีต่อไป

ถ้าไม่ทำงานบ้านก็อ่านหนังสืออ่ะ พยายามทลายกองดอง แต่ตอนนี้ดันไปอ่าน e-book ที่ยืมใน TK Park คือการอ่าน e-book ไม่ได้ทำให้กองดองแกลดลง โอเคมั้ย? แล้วก็ซื้ออีก ซื้อเพิ่มอีก ดองอีก ใช่ เป็นบ้าจ่ะ

บอกเลยว่าตอนนี้มี 2 อย่าง ที่เราคิดว่า อยากซื้อก็ซื้อไปเถอะ กับอยากกินก็กินไปเถอะ คือหนังสือ กับของกิน

หนังสือเนี่ย ถ้าอยากซื้อ และมันลด ก็ซื้อไปเลย ปกติมันจะลด 15-22% ไม่ค่อยเกินนี้ (มือ 1 นะ) ถ้ารอมือสองจะถูกกว่านี้ แต่หายาก

ดังนั้ง ถ้าอยากอ่าน และมันลด ก็ซื้อไปเถอะ ดีกว่าอยากอ่านแล้วหาซื้อไม่ได้ หนทางสู่ความล่มจมจริงๆ หมายถึงชั้นหนังสือถล่มน่ะ หนักเกิน 555

แต่ก็ซื้อไปเถอะ ยอม

ส่วนเรื่องกิน อันนี้เป็นคนขี้บ่อย 30 นาทีมาละ แม่บอกไม่ต้องกินแพง ไม่คุ้ม (แบบนี้ก็ได้เหรอ?)

แต่ปกติก็ไม่ได้กินแพง เพราะส่วนใหญ่หากินในโรงงาน ไม่แพง เลิกงานมาก็กินแถวบ้าน จะไปกินในห้างก็ขี้เกียจไป ไกลบ้าน(ก็เลยประหยัดไปเลย)

แต่นานๆทีก็จะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นแถวบ้านบ้าง อยากให้เขาอยู่ได้ คือเขาขายอันที่เราไม่ทำเองอยู่แล้ว อย่างเช่นเมนูที่เป็นครัวเย็น ปลาดิบ – เราทำไม่เป็น และก็กินบ้างแต่ไม่บ่อย และของทอดที่ต้อง deep fried น้ำมันเยอะๆ เช่น คัตสึด้ง ทงคัตสึ คาราอาเกะ พวกนี้ก็ซื้อๆไปเถอะ

ในบรรดาอาหารญี่ปุ่น นี่ชอบโอโคโนมิยากิที่สุด สั่งคัตสึโอะบุชิมา กินจนหมดถุง (40 กรัมเอง) แล้วจะสั่งเพิ่มของหมด นี่ก็เห็นข้างถุงเป็นชื่อที่อยู่โรงงานผลิตและจัดจำหน่าย นี่ก็เข้าเว็บไซต์เค้า ติดต่อเซลส์ ขอใบเสนอราคา ทำตาราง excel สั่งของแบบใส่โค้ดสินค้าให้ด้วยจะได้เข้าใจตรงกัน รวมยอดให้เค้าคอนเฟิร์ม เว่อวัง จริงจังเรื่องกินมาก

เค้าก็ส่งให้นะ จริงๆใบเสนอราคาบอกขั้นต่ำห้าพัน นี่ก็คุยกับเค้า บอกว่าลูกค้าบุคคลธรรมดาส่งได้มั้ยคะ เค้าก้อบอกว่าส่งได้แต่ค่าส่งลูกค้าออกเอง ก็โอเค นี่สั่งคัตสึโอะบุชิมาเยอะๆ ชอบโรยเยอะๆ โรยน้อยไม่สะใจ แล้วก็สั่งวูสเตอร์ซอสกับซอสคาบายากิมาลอง ปลาไหลย่างแช่แข็งแม็คโครน่าจะมีขาย แต่ขี้เกียจไป อยากลองดุกย่างคาบายากิ เมนูฟิวชั่น 5555

เขาแถมซอสยากินิคุมาให้ด้วย ประทับใจอ่ะ ของหมดสั่งอีกแน่นอน สงสารเซลส์คนที่ดีลกับเรา แบบเค้าตอบเย็นๆ ตอบเสาร์อาทิตย์ เหใอนเลิกงานละก็ต้องทำงาน โธ่ คุณพี่~

นี่ซื้อวัตถุดิบเหมือนเป็นร้านอาหารมาก ไม่ใช่จ้า กินเอง ละกินคนเดียวด้วย😅 แต่มีเทคนิคก็คืออันไหนเก็บได้ ซื้อมาก็แบ่งเป็น 1 ส่วน สำหรับพอกิน 1 ครั้ง แล้วก็แช่ฟรีซไว้ ประหยัดและแก้ปัญหากินอะไรซ้ำๆได้นิดนึง

ตอนนี้ที่รู้สึกเป็นปัญหาชีวิตคือ บ้านจัดสรรครัวมันเล็ก นี่โตมากับร้านอาหาร โต๊ะตัวใหญ่ๆ อยากมีพื้นที่ทำครัวเยอะๆ 555

แล้วเราเป็นพวกบ้าอุปกรณ์ เครื่องนั่นเครื่องนี่เต็มไปหมด ไม่มีที่จะวางแล้ว

ก็คิดถูกนะที่ไม่ซื้อคอนโดแต่ซื้อบ้าน
เหตุผลที่ไม่ซื้อคอนโดก็คือ มันใช้แก๊สทำกับข้าวไม่ได้ 5555 เหตุผลแบบ อะไรวะ? แต่เรื่องจริงนะ

ถ้ายังทำงานต่อไปได้ ไม่ป่วยเป็นอะไรไปซะก่อน ก็คงต้องเริ่มเก็บตังรีโนเวทบ้านแล้ว แบบบางอย่างมันก็เริ่มจะต้องซ่อมน่ะ ไอ้ซ่อมเล็กซ่อมน้อยอันไหนทำเองได้ก็ทำเอง แต่ถ้าทุบนั่นทุบนี่งานโครงสร้างก็จ้างเขาเถอะ

อันนี้ที่พิมพ์ไว้เป็นการพักผ่อนของตัวเองเฉยๆ มานั่งเป่าผมแล้วอยู่เฉยๆไม่เป็น พิมพ์เสร็จผมแห้งพอดี

ฉันรักที่จะยืนอยู่ตรงนี้…

ฉันรักที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ตกหลุมรักกับเวที ท่ามกลางเสียงเชียร์ (เนื้อเพลง วันแรก – BNK48)

เคยฟังเสวนาล่าม เค้าบอกว่ามันจะมีบางโมเม้นท์ที่เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงานนี้

คือมันเป็นอาชีพที่ทรมานทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต แล้วเหตุผลอะไรล่ะ ที่ทำให้หลายคนยังอยู่ตรงนี้

ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะเงินค่าจ้างที่ค่อนข้างสูง บางคนก็ทำมานานเสียจนเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล

หรือบางคนต่อให้อาชีพนี้เงินดีและเขามีความจำเป็นต้องใช้เงิน รายได้ตอบโจทย์ แต่ถ้าทำงานแล้วไม่มีความสุข เขาก็ไม่ทำ หรือทำก็ทำได้ไม่นาน

แต่มันมีเหตุผลบางอย่างจริงๆ ที่ทำให้บางคน “เลือก” ที่จะเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป

สำหรับเราคงเป็นโมเม้นท์แบบวันนี้ ที่เป็นการประชุมแบบที่แปลโดจิมานานๆ ประชุมมาตั้งแต่เมื่อวาน ก็ยังไม่จบไม่สิ้น

ประมาณว่ามีงานเคลมแล้วยังสาเหตุไม่ได้ ก็วิเคราะห์กันไป หาสาเหตุ เช็คนั่นเช็คนี่แล้วก็ไม่มีปัญหา

แล้วก็จะมีตัวละครลับ มาเฉลยปมปริศนา แต่เค้าจะไม่พูดตรงๆ (เพราะจะดูเป็นการเปิดเผยความผิดของตัวเอง) ซึ่งพอแปลไปเนี่ย คนอื่นก็จะไม่เข้าใจ แต่เราแปลๆไปก่อน

พอลุงๆทำหน้างง

เราก็จะยิ้มสดใสให้ทุกคน (แม้จะสวมแมสก์อยู่) แล้วถามคนพูดว่า “จริงๆแล้วพี่อยากจะบอกว่า บลาๆๆๆแบบนี้ใช่มั้ยคะ” (เฉลมปมปริศนาแบบไม่กั๊ก พูดความหมายเดิมแต่บิดคำหน่อยให้ดูไม่ negative ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษ)

เค้าก็จะตอบว่า “ใช่ๆ แบบนั้นแหละ” (เริ่มมีรอยยิ้มปรากฎ จากที่ตอนแรกเค้าจะพูดด้วยความกังวล กลัวจะโดนด่า)

แล้วพอเราแปลไป ลุงๆก็จะทำหน้า “อ๋ออออออออออออออ” ขึ้นมาพร้อมกัน

แล้วปัญหาก็จะคลี่คลายไปได้ ทุกคนก็จะรู้แล้วว่าตัวเองต้องไปทำอะไรต่อ

ช่วงเวลาแบบนี้แหละที่ทำให้เราตกหลุมรักอาชีพนี้และทำมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็แอบรู้สึกว่าตัวเองเดินบนเส้นทางนี้อย่างเดียวมานานเกินไปแล้ว(แต่ก็ยังชอบอยู่นะ)

ช่วงนี้เป็นล่ามด้วย เป็น IT Helpdesk ให้ลุงๆด้วย ตอนถ่ายรูป farewell ก็เป็นตากล้องด้วย

พี่ที่ทำงานเห็นว่าทำได้หลายอย่าง ก็ถามว่าชอบงาน organizer มั้ย เทียบกับงานล่ามแล้วชอบอันไหนมากกว่า

นี่ก็ตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ชอบงานที่ให้เงินเยอะกง่าค่ะ 5555”

พี่ “โอเคชัดเจนมากเลย”

เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรที่เราทำได้ จ้างได้นะคะ ยังผ่อนรถอยู่เลย จ้างได้ ร้อนเงิน อิอิ