คนขี้อวดเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงหรือต่ำ?

ถ้าถามว่าวันหยุดปีใหม่ไปไหน คำตอบก็คือ อ่านหนังสืออยู่บ้าน 5555+

เอาจริงๆอ่านไม่ทันแล้ว ตอนนี้เป้าหมายต่อวันโหดมาก วันละบท แล้วบางบทนี่คือ ร้อยหน้า!!

นี่ขนาดวางแผนขนาดนี้แล้วยังแทบไม่ทันอ่ะ แผนเดิมมันโหดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยแหละ เทอมนี้ลงแต่วิชาหนักๆ แถมมีภาคพิเศษอีก เต็มแม็กซ์ 4 ตัวไปเลย งงมากว่าคนที่เรียนทั้งป.ตรีกับสัมฤทธิบัตรควบกันให้จบไวๆ เค้าเอาเวลาไหนนอน หรือไม่นอน?


เมื่อเช้ามีคำถามน่าสนใจจากทางบ้าน (บ้านมัน ไม่ใช่บ้านเรา) มาจากน้องที่รู้จักกันผ่านการติ่งไอดอลนี่แหละ จริงๆมันเด็กกว่าปีเดียว ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้ แต่มันบอกว่าขอเรียกพี่ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นอี+(ชื่อเรา) ต้องสองพยางค์ไง เออ พี่ก็ได้วะ!

คำถาม “พี่ว่าคนที่ชอบอวด เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองต่ำมั้ย? หรือเพราะมั่นใจในตัวเองสูงก็เลยอวด”


ถือว่าถามถูกคน นี่ก็ขี้อวดอยู่นะ ก็ตอบไปว่า “คิดว่าต่ำ”

เราให้เหตุผลว่า ถ้ามั่นใจก็คงไม่อวดมั้ง น้องคนนี้เคยแชร์พอดคาสต์ให้เราฟัง เป็นปีแล้ว ชื่อพอดคาสต์อะไรไม่รู้ แต่มีคำว่าหรรมใหญ่ (ภาษาอังกฤษ) ประมาณว่าคนหรรมใหญ่จริงจะไม่อวด แต่พวกหรรมเล็กจะชอบอวด นี่ก็ไม่ได้เข้าไปฟังหรอก พอดคาสต์เป็นอังกฤษ ขี้เกียจฟัง ง่วง 555+ ตอนนี้คิดจะฟังก็ลืมชื่อไปแล้ว


ขอเขียนในรูปแบบนิยายแชทแล้วกัน น่าจะเป็นวิธีเล่าเรื่องที่เราถนัดสุด (เราเป็น B นะ)


A: เพื่อนบอกว่า เพราะเค้ามั่นใจว่าเค้าดีเลยอวดรึเปล่า
B: คิดว่าคนมั่นใจอ่ะจะไม่อวด เพราะตัวเองก็อวดเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ ถ้าเรื่องที่มั่นใจจะไม่พูด
A: คนที่ถ่ายรูปตัวเองใส่ชุดว่ายน้ำ หรือผู้ชายมีกล้ามก็อัพรูปกล้าม แปลว่าเค้ามั่นใจเลยโชว์รึเปล่า หรือมันคนละเคสกับความสามารถ
B: อันนั้นเค้าหมดไปเยอะเลยต้องโชว์รึป่าว แบบลงทุน ลงแรงอ่ะ คือไม่ใช่ว่ามั่นใจหรือไม่นะ แต่ที่ลงเพราะชอบเวลามีคนมาชมว่าสวยหรือมีกล้ามไง จะได้มั่นใจมากขึ้น เป็นกำลังใจในการออกกำลังกายรึป่าว
A: เป็นไปได้ ก็จริง
B: อาจจะมีคนอวดเพราะว่ามั่นใจก็ได้ แต่โดยส่วนตัวนี่คิดว่าส่วนมากจะอวดเพราะไม่มั่นใจมากกว่า เหมือนขอความสนใจ ขอความเห็นจาก social network ก็คืออยากได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่มั่นใจอยู่แล้ว ก็จะทำไปเลย
A: เชี่ย จริง เป็นคำตอบที่เห็นภาพมาก คิดถูกแล้วที่ถามพี่
B: งงๆหน่อย แต่ก็เออ.. เมิงชมใช่ป่าววะ
A: ทำให้สิ่งที่มันเป็นนามธรรมดูเป็นรูปธรรมได้ ประมาณนั้น
B: โอเค ถ้าต้องสัมภาษณ์งาน จะเอาไปบอกว่านี่เป็นข้อดีก็แล้วกัน
A: ก็มันจริง
B: เพราะว่าทำงานกับการสื่อสารล่ะมั้ง แบบเวลาแปล ผู้บริหารพูดไม่จบประโยค พูดงงๆ แต่เราไม่อยากให้คนฟังงง บางทีก็ต้องเติมให้
A: เหมาะที่จะเขียนหนังสือนะ <— ไฮไลท์ตรงนี้ ที่เขียนมาก็คืออยากจะไฮไลท์ตรงนี้ 555

นี่ก็คือความขี้อวดแบบนึง ยอมรับ

คือจริงๆมันฟันธงไม่ได้หรอก ว่าอวดเพราะมั่นใจ หรือไม่มั่นใจ ต้องดูเป็นเคสๆไปอ่ะ บางเรื่องที่มันน่าภูมิใจ มันก็น่าอวดนะ เราว่าดีนะ แบบบางทีมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ เท่จะตาย


สำหรับเรา ตัวเองเองอวดเพราะไม่มั่นใจไง ตอนเด็กๆรู้สึกว่า คำว่า “ทะเยอทะยาน” เป็นสิ่งไม่ดีเอาซะเลย ก็เลยแบบกดๆๆๆตัวเองลง แต่โตมาก็ได้เรียนรู้ว่า เห้ย ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดีถ้าเอามาใช้อย่างเหมาะสม นี่ก็เลยต้องคิดใหม่ เริ่มพูดอะไรที่คิดมากขึ้น เริ่มเขียนออกมา เพราะต้องการหาคน Discuss ด้วยก็ส่วนนึง ไม่งั้นคนซวยจะเป็นคนใกล้ตัว ต้องมาฟังมันพูดอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งบางทีตัวเองก็ยากจะอธิบายให้คนเข้าใจเหมือนกันว่าต้องการจะสื่ออะไรน่ะ

นี่เป็นคนพูดไม่เก่งจริงๆนะ (คนละเรื่องกับพูดมาก) ปีหน้าคิดว่าอยากลองฝึกทำ podcast อยู่เหมือนกัน จะได้ฝึกสร้าง output ที่เป็นการพูดอ่ะ เหมือนเวลาเรียนในโรงเรียนเราได้ฝึกแต่ input


ตอนนี้ก็ฝึก output เรื่องการเขียนเรื่อยๆ ก็ดีขึ้นอยู่นะ แต่เรื่องพูดนี่แหละที่รู้สึกว่าเป็นทักษะที่อ่อนสุด ควรปรับปรุง

ตอนนี้ในไอจีก็คือเราลงอวดเรื่องอ่านหนังสือ ว่าได้กี่หน้า ได้ตามเป้าหมายมั้ย เพราะเหมือนรายงาน progress สำหรับเราการอ่านหนังสือเรียนมากขนาดนี้เป็นงานที่ยากมาก เราไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำได้ ก็เลยอวดมั้ย? คือเหมือนพอพูดมันออกมาแล้วจะกระตุ้นตัวเองหน่อยๆ คงไม่ได้อวดเรียนมั้ง คือถ้ามีคนมาถามว่าอยากเรียนมั่ง นี่ก็จะบอกก่อนว่าหนีไป หรือไม่ก็ถามว่าพร้อมจะเหนื่อยรึยัง สำหรับเรามันเหนื่อยจริงไง ไม่ห้ามหรอก แต่แค่อยากให้เข้าใจจริงๆว่าแบ่งเวลาให้ได้ ถ้าแบ่งได้ก็เรียนได้ แต่ถ้าแบ่งไม่ได้ก็อย่าเรียนเลย เสียดายค่าลงทะเบียน

จริงๆในทวิตก็มีคน DM มาถามเรื่องเรียนนิติ มสธ. คิดว่าเรียนจบหรือก่อนเรียนจบ จะเขียนไกด์ไลน์ไว้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น

คำถามที่เค้าถามก็จะประมาณว่า ถ้าทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจะไหวมั้ย นี่ก็ถามกลับว่า เราอ่านหนังสือวันละประมาณ 40 หน้า เกือบทุกวัน (แต่ไม่ทุกวัน) คุณคิดว่าคุณทำได้มั้ย

คือพยายามทำสิ่งที่วัดไม่ได้ให้วัดได้แหละ สำหรับเรา 1 ชั่วโมงเราอ่านได้ประมาณ 20 หน้า ถ้าสมาธิดีๆ (แต่ส่วนใหญ่ไม่) ก็เลยคิดว่าถ้าจะเรียน ก็น่าจะมีเวลาให้การเรียน วันละ 2 ชั่วโมง (แต่จริงๆน้อยกว่านี้แหละ)

อันนี้ลงเรียนเพราะตอนนั้นติ่งไอดอล ก็ไปลงทะเบียนเรียนเลย ทู่ซี้เรียนมาแบบหน้ามึนๆ ก็สอบไม่เคยตก แต่เกรดก็คือแค่ผ่าน (มสธ.ตัดเกรดแค่ H=ดีเยี่ยม S=ผ่าน U=ไม่ผ่าน) นี่เหลือสอบอีกสามตัว กับลงวิชาสุดท้ายที่เป็นประสบการณ์วิชาชีพ กับไปสอบภาษาอังกฤษก็จะจบตรีอีกใบแล้วล่ะ เอาจริงๆมันก็ไม่ได้มีประโยชน์ในสายงานขนาดนั้น แต่ก็คิดว่ามันก็ได้ความรู้ดี

จริงๆอยากลงเพิ่มพวกวิชากฎหมายภาษีอากร ตอนแรกจะลงสัมฤทธิบัตรรอบนี้เลย แต่คิดไปคิดมาก็ นอนก่อนเหอะ เดี๋ยวตาย

เนี่ยลงเรียนแบบเรื่อยๆเลยนะ มีหยุดลงไปเทอมนึงด้วย ปวดหลัง ดรอปเลย ค่าเทอมไม่เท่าไหร่ ค่าเก้าอี้ Ergonomics หมอนรองหลัง ที่ตั้งหนังสือ ไม้นวด บลาๆ อันนี้แหละแพง 5555+

จะว่าไปเราเริ่มตามวง BNK48 มาจากบัตรจับมือฟรี ที่เพื่อนให้มา เราเลือกจับมิวสิค เป็นแปดวินาทีเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้เรามาเรียนป.ตรีกฎหมายอีกใบ

แล้วก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ แบบอย่างน้องคนนี้ ที่ชอบมีคำถามน่าสนใจมาถาม ทำให้เรามีอะไรมาเขียนบล็อก 555

หรือคุณ L ที่ชอบป้ายยากันไปมา จาก Black Friday ของซัมซุง นี่ซื้อมือถือตามเค้า ป้ายยากันไปมา เป็นสาวกกาแล็กซี่ด้วยกันเลย ทั้งมือถือ สมาร์ทวอช หูฟัง 555+

หรือคุณ G ที่เรียนออนไลน์กับเราจากโปรเจคโดเนทมิวสิครอบ World Senbatsu ทำให้เราได้ฝึกสอนออนไลน์ตั้งแต่ก่อนโควิด แล้วก็ซื้ออุปกรณ์มาเรื่อยๆ ตอนมสธ.สอบออนไลน์ นี่ก็กล้องพร้อมมาก 555+

ตอนนี้คือมีกล้อง webcam มีแท็บเลตแบบเขียนจอได้ คือพร้อมสอนออนไลน์มาก ติดอยู่อย่างเดียว ไม่มีเวลานอน 5555+

ขอเรียนนิติของตัวเองก่อนแล้วกัน

จริงๆคุยกับรุ่นพี่มหาลัยไว้ บางทีดึกๆก็มีโนมิไกทาง Zoom นั่งกินเหล้าบ้านใครบ้านมันนี่แหละ เออ ชอบนะ ถูกใจคน Introvert ไม่อยากออกจากบ้าน แต่ก็อยากดื่ม 555

เพิ่งไปเจอเพื่อนมาก็คิดว่าควรทำอะไรที่มันเป็นการพัฒนาอาชีพตัวเอง แต่อีกใจก็แบบ ทำอะไรก็ทำไปเหอะ เอาที่ทำแล้วสบายใจไม่เดือดร้อนใครอ่ะ อย่างนี่ติ่งไอดอลก็คิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้ลองทำอะไรหลายอย่างมากๆ ซึ่งสำหรับเรา เราว่ามันดีนะ

แล้วก็คิดว่าการเล่าว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ก็เป็นเรื่องที่ดี คือบางทีมีฟีดแบคมันก็เป็นกำลังใจอ่ะ อย่างบล็อกเนี้ย เราทำมา 7 ปี เราชอบมาก มันเป็นบล็อกที๋โคตรจะเป็นตัวเรา เขียนแบบไม่สนยอด Engagement อะไรเลยแต่เราแฮปปี้นะ ปีนี้ยอดวิวทั้งปีน้อยกว่าปีที่แล้วอีก แต่เรารู็สึกว่าคอมเม้นที่เราได้อ่ะ มันมีค่ามาก ยิ่งสิ่งเล็กๆที่เราทำอยู่ มันมีประโยชน์กับคนอื่น โคตรดีใจ ใจฟูของแท้ นั่งปลื้มไปอีก

เมื่อฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กฝึกงาน

อันนี้เขียนค้างไว้ตอนพักเที่ยง ตอนวันทำงาน แต่ตอนนี้หยุดปีใหม่แล้ว ก็เลยมาเขียนต่อให้จบ

เรื่องอาจจะดูไม่ค่อยปะติดปะต่อกันสักหน่อยทแต่จะพยายามเล่านะ

เมื่อเช้าลุงบอกว่า “วันนี้ไม่มีประชุมเลย ชิววว”

ล่าม “แต่ฉันยุ่งมากนะ งานแปลเอกสารเยอะมาก ไหนจะต้องโค้ชชิ่งให้น้องฝึกงานอีก”

ลุง “ต้องสอนทุกอาทิตย์เหรอ”

ล่าม “ตอนนี้สอนทุกวันค่ะ”

ลุง “ไปบอกเด็กฝึกงาน ให้เค้าเอาเบี้ยเลี้ยงมาจ่ายเธอเลย”

เอาจริงๆไม่น่าจะมีล่ามคนไหนได้เป็นพี่เลี้ยงให้ล่ามด้วยกันเองสักเท่าไหร่หรอก เพราะงานล่ามมันยุ่งเต็มที่ อย่างมากก็เข้าแปลพร้อมล่ามรุ่นพี่ ไม่เกินอาทิตย์ก็ต้องบินเดี่ยว บางทีวันเดียว หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แผนกเรารับเด็กฝึกงานภาษาญี่ปุ่น สองสามปีก่อนก็เคยรับมาทีนึง เป็นเด็กเอกภาษาญี่ปุ่น ปีนี้น้องไม่ได้เรียกเอก แต่เนียนภาษาญี่ปุ่นธุรกิจ

ทำแบบสอบถาม ถามน้อง น้องบอกอยากเป็นไกด์ ไม่ก็ทำงานโรงแรม

เหม่อเลย… นี่เป็นล่าม จะสอนอะไรน้องดี

มีความคาดหวังของมหาลัยของน้อง ของบริษัทเรา และของตัวน้องเอง เราต้องพยายายามสอนให้น้องตอบสนองต่อความต้องการ 3 ก้อนนี้ ให้ดีที่สุดในเวลาสองเดือน

โอ้แม่เจ้า งานโหด โคตรหิน

ในเงื่อนไขที่ว่างานเราที่ยุ่งๆ ก็ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน

นี่ก็พยายามทำงานให้เร็วขึ้นเป็นสองสามเท่า จะได้มีเวลาไปสอนน้อง

ก็ค่อนข้างให้เวลากับน้องเยอะ คือหางานให้ทำ น้องจะได้ไม่ว่าง เพราะเราไม่ชอบว่าง เราเหงา เราชอบทำงาน

แต่พอหางานให้น้องทำ น้องทำเสร็จเราก็ต้องตรวจทุกงาน นั่นแหละ เข้าใจเลยว่าการเป็นพี่เลี้ยงหรือเป็นหัวหน้าคนอื่น จะเป็นให้ดีมันเหนื่อยมาก

ตอนจบใหม่ๆเคยคิดว่าไม่อยากเป็นล่าม อยากเป็นอย่างอื่นด้วย จะได้เป็นเมเนเจอร์ แต่พอทำงานกับเมเนเจอร์เยอะๆ ดันไม่อยากเป็นแล้ว

ข้อดีของการเป็นล่ามสำหรับเราคือมันได้ฟัง ได้แปล Top Management พูด รู้สึกว่ามุมมองเค้าเจ๋งดี ถ้าเจอ management เก่งๆจะแปลสนุกทตัวเองก็ได้ความรู้ด้วย

แต่ตอนนี้ถ้าให้เลือก ก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะดูแลใคร (ในการทำงาน)

นี่ดูแลเด็กฝึกงาน 1 คน เห็นเค้าตอบว่าอยากทำงานโรงแรม ทำงานไกด์ (ในสถานการณ์แบบนี้) นี่ก็มีจังหวะแอบเครียดแทนน้องช่วงนึง ซึ่งไม่จำเป็นเลย ต้องคอยดึงๆตัวเองกลับมา ว่าอย่าไปคิดแทนเค้า

ก็บอกน้องไปตรงๆว่าพี่ไม่เคยเป็นไกด์ ไม่เคยทำงานโรงแรม

เราคงแนะนำเกี่ยวกับงานที่น้องอยากทำไม่ได้ เราทำได้แค่แชร์มุมมองในการทำงานของเราให้กับน้อง เราทำได้แค่สอนน้องในเรื่องที่เรารู้ ซึ่งนี่ก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองรู้มา มันถูกหรือมันผิด หรือมันดี หรือไม่ดี

อีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องทำและยากมาก คือพยายามบล็อก ไม่ให้คนมาใช้น้องแปลอะไรที่ยากเกินไป คือการแปลที่ทำให้คนพัฒนาได้ เนื้อหาในต้องเหมาะกับสกิลอ่ะ แต่ส่วนใหญ่อาชีพล่ามคือ ใส่ล่ามเข้าไป 1 คน เรียนภาษาญี่ปุ่นมาต้องแปลได้ทุกอย่างสิ

อยากจะขำก็ขำไม่ออก เพราะเคยเจอ telephone meeting ที่ขนาดคนญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน ยังคุยกันเองไม่เข้าใจเลย

แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นงานก็ต้องทำ

แล้วนี่คือน้องฝึกงาน JLPT N4 (ไม่ได้จะบอกว่าใครมากใครน้อยนะ มันเป็นเกณฑ์คร่าวๆที่จะบอกกว้างๆ ว่าความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับประมาณไหน) แล้วเพิ่งเคยสอบ N3 ครั้งแรก

แต่มีคนเอา check sheet ที่ค่อนข้างยาก ต้องใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ค่อนข้างสูง มาจะให้น้องแปล

เอาง่ายๆ พาร์ทรถยนต์ภาษาไทยน้องก็ไม่ค่อยรูป กระบวนการผลิตมี process อะไรแน่นอนว่าไม่รู้ ความเข้าใจทางภาษาก็คือยังสะสมคำศัพท์ไม่มากพอจะใช้จินตนาการมาต่อจิ๊กซอว์ในหัวอ่ะ

เอกสารที่ว่าเนี่ย ต้นฉบับเป็นภาษาญี่ปุ่น มีแปลเป็นอังกฤษไว้แล้ว แต่ปัญหาคือคนไทยอ่านภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ พี่เค้าเลยให้เราแปลจากอังกฤษเป็นไทย แต่เราอ่านแล้วมันแปลกๆ เลยขอดูต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นเทียบ ก็เจอว่าญี่ปุ่นกับอังกฤษแปลไม่ตรงกันแบบผิดไปเลยก็มี

คือพาร์ทเราเราทำเสร็จแล้ว พาร์ทอื่นๆก็อ่านๆเดาๆไปอ่ะ มันช่วยไม่ได้ที่ต้องเป็นแบบนี้ แล้วเค้าเห็นเราทำเยอะแล้ว คงรำคาญกลัวโดนเราบ่น ก็เลยจะเอาให้น้องทำมั้ง ก็คิดอะไรเรียบง่ายดี แต่สำหรับเรา ถ้าเราให้น้องทำ แปลว่าเราต้องตรวจ ซึ่งเสียเวลากว่าเราแปลเองอีก

ถ้าเราแปลเอง ก็จะเป็น แปล>ตรวจทาน(ถ้ามีเวลา>จบ

ถ้าให้น้องแปล ก็จะเป็น น้องแปล>เราตรวจ>ส่งให้น้องแก้>เราตรวจอีกรอบ

บางทีก็เหนื่อยจะอธิบาย process การทำงานแบบนี้ให้คนที่ไม่เข้าใจฟัง เพราะบางทีอธิบายไปเค้าก็ไม่ฟังอยู่ดี เดี๋ยวก็จะกลายเป็นมาว่าเราเกี่ยงโน่นนี่ไม่อยากทำอีก ก็เลยคิดว่า ตอบแค่ “ค่ะ” แล้วก้มหน้าก้มตาทำไปอาจจะจบเร็วกว่าก็ได้

เนี่ย ซึ่งความคิดแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย คือในฐานะพี่เลี้ยง ถ้าน้องโดน assigned งาน พี่เลี้ยงก็มีหน้าที่ผลักดันให้น้องทำได้ แต่นี่คือประเมินสถานการณ์เอง ในเวลาสองเดือนนี้ เราทำให้น้องแปลเอกสารนี้ให้ได้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าให้เราทำเองเราขอเดือนเดียว จะแปลให้เสร็จ ถ้าไม่มีงานอื่นแทรกตลอด ไม่เกินอาทิตย์เดียวก็เสร็จ

มาสังเกตตัวเองดูจะรู้ตัวเลยว่า ซีเรียสเรื่องเวลามากๆ เน้นที่ความเร็ว เพราะอยู่แผนกที่ทุกสิ่งที่เข้ามาพร้อมกันคือปัญหาเร่งด่วนทั้งหมด เคยโดนพี่ล่ามว่าอยู่ ว่าแกจะเอาแต่ Delivery แต่ Quality ไม่ได้มันก็ไม่ได้ป่ะวะ เนี่ยก็จำ แล้วนำไปใช้ตลอดแหละ แต่ยังไงก็ยังซีเรียสเรื่องเวลามากๆอยู่ดี

เอาจริงๆการที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กฝึกงาน ทำเอาเราเครียดกว่าทำงานตัวเองซะอีก กลัวอยู่ตลอดว่าจะพูดอะไรแล้วน้องฟังแล้วจะรู้สึกไม่ดีมั้ย แต่ก็คิดง่าบางเรื่องก็ควรบอกน้อง ชีวิตมันก็เครียดจริงๆแหละ เตรียมตัวเตรียมใจไว้

หลายๆอย่างเราไม่ชอบระบบการศึกษา มันเรียกร้องเอาความสดใสในชีวิตเด็กคนนึงเอาไปละลายทิ้งเปล่าๆมากเกินไป แต่เราเองก็ดันโตมาเป็นผู้ใหญ่ประหลาดๆ ที่ไม่สามารถนำทางให้ใครได้ดีขนาดนั้น

จริงๆอยากกลับไปแนะแนวที่มหาลัยตั้งนานแล้วล่ะ แต่ก็พูดไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ อีกอย่างเวลาไม่ได้ด้วย แต่เริ่มมีโปรเจคเล็กๆที่กำลังคุยกับอาจารย์/รุ่นพี่ว่าอยากทำ

แต่นี่โคตรกลัวการต้องพูดต่อหน้าสาธารณะ ขนาดเป็นล่ามก็ยังไม่หายกลัว เราชอบเขียนมากกว่า ปกติถ้าไม่อัพบล็อกก็ชอบเขียนยาวๆลงเฟซบุค แต่ก็เข้าใจความ “ยาวไป ไม่อ่าน”นะ แต่ก็มีเพื่อนที่ชอบอ่านบ้างเหมือนกัน จริงๆอยากทำ podcast ตัวเองจะได้ฝึกพูดด้วย แต่ก็ไม่ได้เริ่มสักที ปีหน้าลองตั้ง target เรื่องนี้ดีมั้ยนะ?

อยากจะเขียนรีวิวปีนี้ ก็เรื่อยๆ เรียบๆ ไใค่อยมีอะไรให้เขียนจริงๆนั่นแหละ ใช้ชีวิตเพลย์เซฟ ชอบอยู่บ้าน มีกิจกรรมที่บ้านเยอะมาก

เพื่อนเห็นเครียดกับการเรียนกฎหมาย ก็ชวนไปเที่ยว ชวนไปกินข้าว ดีใจที่เพื่อนชวนนะ ไปได้ก็ไป ดีใจเวลาเจอเพื่อน แต่ก็นั่นแหละ พอเจอแล้วก็สนุกดีแต่พอเสร็จแล้วก็อยากกลับบ้านนน ชอบอยู่บ้าน คิดถึงแมว 5555

เป้าหมายชีวิตเราคือการซื้อบ้าน เลี้ยงแมวจริงๆ แล้วพอทำได้แล้ว ก็คือเราแฮปปี้กับสิ่งที่เลือกจริงๆ เราเลือกเป็นล่าม เลือกทำแบบคอนแทรคด้วยเพราะมันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรามากๆ พอมาปีนี้ สภาพเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี งานที่ไม่มั่นคงเพราะต่อสัญญาปีต่อปี ปีนี้ต่อช้าด้วย ยังไม่ได้เซ็น (แต่นัดวันแล้ว) ตอนแรกๆก็คิดว่าใจหายนะ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ต่อ แต่คิดไปคิดมาก็เริ่มปลง อะไรจะเกิดก็คงต้องยอมรับมัน พอคิดได้แบบนี้มันก็สบาย

จะว่าไปตอนนี้ก็เหมือนคนแก่วัยเกษียณ นอนเร็วๆ ตื่นตีสามมาอ่านหนังสือในบางวัน คือตื่นเช้าจนชิน ทั้งๆที่ตอนเด็กๆ ปิดเทอมคือตื่นสี่โมงเย็นนะ ชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืนเพราะมันไม่ร้อน แต่โตมาทำแบบทดสอบ พลังแห่งเมื่อไหร่ นี่ได้เป็นหมี หมีที่ใช้ชีวิตตามดวงอาทิตย์เลย

ช่วงนี้หยุดยาวก็คงอ่านหนังสือสอบ จะพยายามอ่านให้ได้มากที่สุด แล้วก็นอนเยอะๆให้สมกับที่ไม่ค่อยได้นอนล่ะมั้ง ที่เหลือก็คงต้องทบทวนตัวเองว่าปีหน้าจะทำอะไรบ้าง ค่อนข้างเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะจะเป็นปีที่เรียนจบ

Academic Burnout

ช่วงนี้เครียดๆ เหมือนหมดไฟ แต่ไม่ใช่เรื่องงานหรอก เราเจองานที่เราไม่ได้เกลียดเช้าวันจันทร์ พอๆกับที่ไม่ได้เฝ้ารอคืนวันศุกร์แล้ว แปลว่ามันเป็นงานที๋โอเคแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าต้องต่อสัญญาปีต่อปี ช่วงปลายปีก็จะมีได้ลุ้นนิดหน่อย ว่าปีหน้าจะยังได้ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่รึเปล่านะ

เมื่อเทียบกับเพื่อนที่อายุเท่าๆกันที่ไม่ได้เป็นล่าม เพื่อนก็ดูมีสกิลนะ ถ้าถามว่างานเรามันไม่มั่นคงรึเปล่าก็อาจจะจริงอย่างที่ใครๆเขาว่ากัน แต่ตัวเราเองก็ใช่ว่าจะอยู่ไปเปล่าๆซะเมื่อไหร่ สำหรับเรา เรารู้สึกว่ามันเป็นงานที่รายได้ตอบโจทย์ชีวิตเราในช่วงแรกของการทำงานมาก บวกกับโอกาสในการได้สังเกตผู้บริหารเก่งๆในระหว่างที่แปล สำหรับเราอย่างหลังนี่เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆ เคยคิดเรื่องเรียนต่อ แต่ล้มเลิกความตั้งใจไป เพราะเจอผู้บริหารที่รู้สึกว่า อยากฟังคอมเม้นท์เค้า อยากแปล อยากรู้ว่าเค้ามีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เค้าสรุป ประมวลผล และใช้ข้อมูลที่ได้รับมาอย่างไร สำหรับเราการได้เฝ้าสังเกต “คน” ก็ถือเป็นเรื่องน่าสนุกอย่างหนึ่ง

แต่ก็อย่างว่า พอช่วงต่อสัญญา ก็จะลุ้นๆตลอด ส่วนใหญ่เพื่อนร่วมงานก็จะคิดว่าได้ต่ออยู่แล้ว แต่ตัวเองก็จะคอยคิดอยู่ตลอดว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

อีกอย่างนี่เรียนกฎหมาย ก็ชอบเอาหนังสือมาอ่านตอนเที่ยง ไม่ใช่ว่าขยันอะไรหรอก ก็จะสอบอ่ะ ก็เลยต้องอ่าน ไม่มีทางเลือกนี่นา ลุง VP เคยมาถามว่าเราเรียนอะไร แล้วก็ไปเล่าให้ลุงหัวหน้าเราฟังว่าเราเรียนกฎหมาย แล้วถ้าได้เป็นทนายความก็คงไม่อยู่แปลให้ลุงๆ เพราะคงจะเงินเดือนสูง

เอ่อ… ลุงคะ เท่าที่เรารู้ ถ้าเป็นทนายความเอง ไม่มีเงินเดือนนะ

จริงๆก็อยากจะเป็นทนายความคนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ มันจะตอบกระทู้ที่เด็กสายศิลป์ชอบถาม ว่าเรียนกฎหมายหรือเรียนภาษาดี เราอยากรู้เหมือนกันว่าเรียนอะไรดี ก็เลยลองเรียนดูทั้งสองอย่าง

จริงๆมันก็มีวิธีที่เร็วกว่านี้ หรืออาจจะได้จบจากมหาลัยที่มีชื่อเสียง เป็นที่นิยมของ Law Firm แต่เราเลือกเรียนมสธ.เพราะเรื่องค่าเทอมกับเวลาเรียนที่ยืดหยุ่นได้ สอบเสาร์อาทิตย์ เท่านั้นเลยจริงๆ

จะว่าไปก็คือการอ่านเองแล้วก็ไปสอบนั่นแแหละ

ก็ต้องอ่านวันละประมาณ 40-50 หน้า ส่วนใหญ่เราก็จะนอนเร็ว นอนประมาณสี่ทุ่ม แล้วตื่นตีสามมาอ่านหนังสือ ก็ทำแบบนี้มาสักพัก สักพักที่ว่าก็คือเป็นปี แต่ช่วงนี้หมดไฟ ทำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่

ตั้งแต่เรียนมาก็ยังไม่เคยสอบตก แต่เกรดก็ไม่ดีเอาซะเลย

สารภาพตามตรงว่าตอนแรกเรียนไปหวังสอบทุนมง แต่ดันลืมว่าทุนมงดูเกรดด้วย เกรดไม่ถึงน่ะสิ 555+

คือถ้าเอาเกรดป.ตรีใบแรก มันถึง แต่ถ้าเอาเกรดนิติ ก็ไม่ถึง 555 ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดในการเรียนที่อ้อมไปอ้อมมาสุดท้ายไม่ได้อะไรของเราเอง เดี๋ยวเรียนจบอาจจะมาเขียนอะไรแบ่งปันประสบการณ์ความผิดพลาดสัดหน่อย เผื่อวันหลังมีเด็กๆมาอ่าน จะได้ไม่พลาดแบบเรา

ถ้ามาถามเราตอนนี้ว่าเรียนกฎหมายหรือภาษาดี จริงๆถ้ามีเงินและขยัน จะเอาทั้งสองอย่างก็ย่อมได้ แต่ถ้าขาดเงินไป ก็ต้องขยันมากๆหน่อย แล้วขยันไปก็ไม่การันตีผลสำเร็จอีก นี่แหละความเหลื่อมล้ำในสังคม

ตัวเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะก็ไม่ได้เป็นคนขยันขนาดนั้น คือถ้ามีเด็กมาอ่านก็ไม่อยากให้เค้าจมกับคำที่ผู้ใหญ่เขาหลอก ว่าเพราะไม่ขยัน ชีวิตถึงไม่มีวันดี เพราะบางทีเราก็ขยันแล้วแหละ 5555+ บางคนอาจจะไม่ได้ขยันมากแต่จังหวะและโอกาสมันส่งก็มี อย่างน้อยๆการเรียนรู้จากความผิดพลาด(ของตัวเองและคนอื่น) ก็เป็นบทเรียนที่ดี

เพระาว่าฟังวิทยุบนรถแท็กซี่มานั่นแหละ ก็เลยคิดว่าต่อจากนี้เวลามีประสบการณ์ที่ผิดพลาดหรือล้มเหลว จะพยายามแชร์ จะไม่เป็นคนที่เล่าแต่เรื่องดีๆ เพราะคิดว่าบทเรียนจากความผิดพลาดน่ะมันเจ็บกว่า เข้าใจง่ายกว่า 5555 ซาดิสม์นั่นเอง

ทุกวันนี้ก็ทำงานแบบคนซาดิสม์นะ ชอบทำงานเยอะๆ ไม่ชอบว่าง แต่อย่างว่าอายุก็มากขึ้นทุกวัน โดจิติดๆกันไม่มีพักก็เหนื่อยแหละ

ดีหน่อยที่หัวหน้าอ่ะใจดี เห็นเราแปลประชุมติดต่อกัน ก็ให้คนเอาน้ำมาให้ดื่มระหว่างประชุม แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้แหละ ที่รู้สึกขอบคุณมากๆเลย มันทำให้เห็นว่า เค้าเห็นว่าล่ามเป็นมนุษย์นะ ไม่ใช่เครื่องแปลภาษาที่ไร้หัวใจ ว่าเข้าไปนั่น 5555+

มันก็ไม่ทุกคนหรอกที่จะคิดแบบนี้ ก็ต้องค่อยๆพยายาม educate กันไป นี่เวลาต้องการอะไรก็จะพยายามบอกดีๆ ไม่ใช่อดทนจนตัวเองโมโหแล้วค่อยพูด ก็จะพูดตั้งแต่แรกเลย แต่พูดดีๆ พูดตอนใจเย็นๆ อันนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องเลย ไม่เฉพาะเรื่องงาน

วันนี้ไปอ่านเกี่ยวกับ Academic Burnout มา ก็พบว่าตรงกับตัวเองแทบทุกข้อ คือเราท้อแท้ หมดกำลังใจในการเรียน

จริงๆก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้ว ดีว่าตอนต้นปีตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนโควิดจะระบาด ได้ไปเจอเพื่อน ได้ไปที่ที่อยากไป ก็พอจะช่วยได้บ้าง

แต่มันก็วนลูปกลับมาใหม่ ก่อนหน้านี้เพื่อนเห็นเครียดๆก็เลยชวนเราไปเที่ยว ก็ไปแหละ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์ กลับมาสักพักก็หมดไฟอีก

สำหรับเราแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกสนใจ อยากทำ ก็คืองานอดิเรก ทั้งวาดรูป เล่นกีต้าร์ และเขียนบล็อก (จริงๆมีเยอะนะ ชงกาแฟ อ่านหนังสือ ถ่ายรูป ชอบหมดเลย)

บางคนก็แก้เครียดด้วยการช็อปปิ้ง นี่ก็เพิ่งถอยอุปกรณ์ที่คิดว่าแพงมากๆ แต่อยากได้มานานแล้ว นั่นก็คือ จอวาดภาพ Cintiq นั่นเอง

จริงๆงานที่เราวาดไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ระดับสูงขนาดนี้เลย ถ้าถามว่าจำเป็นมั้ย ก็ตอบได้เลยว่ามันไม่จำเป็น ยิ่งยุคนี้ที่ต้องประหยัด

แต่เราอยากได้อ่ะ เราก็ซื้อ ก่อนซื้อก็คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ นอนหลับไปแล้วยังตัดใจไม่ได้ก็เลยซื้อ ไปอ่านรีวิวคนญี่ปุ่นมา มีคนเขียนรีวิวว่า “พอวางบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครีเอเตอร์จริงๆ”

สำหรับเราเราว่าความรู้สึกนี้มันสำคัญมากนะ มันคือความเชื่อว่าตัวเราจะสร้างผลงานได้

มันทำให้เราอยากวาดรูป

ช่วงนี้เราบ้าเห่อ ตั้งแต่ได้มาก็วาดทุกวันเลย หนังสือเรียนคืออ่านน้อยมาก 555555

ความรู้สึกมีแรงบันดาลใจอยากทำอะไรสักอย่างนี่สำคัญมากนะ ถึงจะเป็นแค่งานอดิเรก และดูเหมือนว่าเราจะใช้เงินกับงานอดิเรกไปค่อนข้างเยอะ แต่สำหรับเรา เราพอใจนะ ถ้ามันช่วยเยียวยาจิตใจได้ ก็ประหยัดค่าหมอค่ายาได้อยู่

สำหรับเราการอดทนทำงาน แล้วเอาเงินมาซื้อของที่ทำให้เรามีความสุข เป็นการใช้เงินที่คุ้มค่า เอาจริงๆนี่ถือว่าเป็นคนประหยัดประมาณนึงเลย ยิ่งอยู่กับแม่ ช่วงไหนซื้อของเยอะ ของมาส่งเยอะนี่โดนบ่นเลย แต่ก็พยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจ ว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ

มีโปรเจคหนึ่งที่คิดอยากจะทำ คือ “จะวาดรูปให้คนที่กำลังเศร้า” ก็บอกตัวเองว่าซื้อ cintiq มาเพื่อทำโปรเจคนี้ของตัวเองแหละ (โม้ จริงๆแล้วสนองนี้ดตัวเองล้วนๆ) ตัวเราอาจจะไม่ได้วาดรูปเก่ง แต่เราอยากวาดรูปที่ให้กำลังใจ อยากวาดรูปที่คนที่ได้รับรู้สึกดี

จริงๆก็เคยทำได้ แล้วเราชอบความรู้สึกนั้น ก็เลยคิดว่านี่เป็นโปรเจคของตัวเองที่เราอยากจะทำ ตอนนี้ทำได้แค่วางแผนนะ จริงๆแล้วก็ควรลงมือทำเลย แล้วพอลิสต์สิ่งที่ต้องทำ กับเวลาต่อวันที่มีแค่ 24 ชั่วโมง ดูยังไงตอนนี้ก็ไม่น่าทัน เอาตัวรอดไปวันๆก่อน