[หนังสือ] UNTAMED อย่ายอม

ตอนแรกเล่มนี้เราเขียนลงแค่ใน facebook กะจะไม่ลงบล็อก แต่หนังสือดีมากจนอดไม่ได้ที่จะแนะนำ

พี่เทคสมัยมหาลัย (คล้ายๆพี่รหัส แต่มหาลัยเรารหัสไม่ตรงกัน) มาคอมเม้นว่า

“พี่ไปซื้อมาเมื่อวาน เพราะมีโอกาสได้อ่านจากที่เขียนแชร์ไว้

ดีจังเลย

ขอบคุณนะคะ🤍”

ซึ่งมันมีความหมายกับเรามากๆ ก็เลยคิดว่าต้องเอาที่เขียนถึงเล่มนี้ลงบล็อกด้วยแล้วล่ะ

UNTAMED อย่ายอม – เกล็นนอน ดอยล์

เราเคยเห็นคำนี้ครั้งแรกจากชื่อคนในทวิต (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงหนังสือเล่มนี้หรือปรมาจารย์ลัทธิมารกันแน่)


ปกติก็จะสั่งหนังสือจากเว็บของค่ายใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่อารมณ์ แล้วถ้าซื้อของค่ายใหญ่ ส่วนใหญ่มันก็จะมีโปรว่าถ้าซื้อ 4 เล่มขึ้นไปจะได้ส่วนลด 20% นะ เวลาซื้อหนังสือทีก็จะซื้อเยอะตลอด เดือนนี้ก็ใช้เงินซื้อหนังสือเงินงบที่ตั้งไว้ไปเยอะมาก


เล่มนี้ตอนแรกจะสั่งมาแบบรวมๆกับเล่มอื่น ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่มันหมด จนรีสต็อกใหม่ ก็เลยจะกดสั่ง แต่ด้วยความที่เดือนนี้ซื้อหนังสือเยอะแล้วก็เลยไปอ่านตัวอย่างหนังสือใน google books ก่อนกดสั่งซื้อ (ส่วนมากถ้าเป็นหนังสือที่มีต้นฉบับภาษาอังกฤษ หนังสือใหม่ ๆ มักจะมีตัวอย่างหนังสือให้ทดลองอ่านอยู่แล้ว)


บทนำเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสือชีต้าร์ในสวนสัตว์ ส่วนบทที่หนึ่งนั้น เริ่มต้นด้วยประโยคนี้


Four years ago, married to the father of my three children, I fell in love with a woman.


เอ๊ะ…มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่ แตกต่างไปจากการรับรู้ที่ผ่านมา หรือเราจะแปลผิดนะ? 


อืมมม father, children, feel in love, woman


คำศัพท์พื้นๆที่เรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่น่าจะแปลผิดหรอก แต่ก็กลับไปอ่านทวนประมาณสองสามรอบนะ เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง บัตรเครดิตในกระเป๋าสตางค์เริ่มสั่น มันร่ำร้องว่าอยากเสียเงินแล้ว


อ่านไปเรื่อย ๆ ก็เจอประโยคที่แม่ของเกล็นนอนพูดกับแอ๊บบี้ว่า “แม่ไม่เคยเห็นลูกสาวของแม่มีชีวิตชีวาแบบนี้นับตั้งแต่หล่อนอายุสิบขวบแล้ว”


ทีนี้คนแต่งเขาก็มาคิดต่อว่า แล้วสิบขวบนี่มันตอนไหนนะ มันเป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มสูญเสียตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆเรียนรู้ว่าการเป็นเด็กดีทำอย่างไร เลิกเป็นตัวของตัวเอง และพยายามเป็นในสิ่งที่โลกคาดหวังให้เป็น


เอาล่ะ… เอาเงินฉันไปเลย รีบๆเอาเงินไป แล้วส่งหนังสือมาให้เร็วที่สุด ฉันต้องได้อ่านทันทีที่หนังสือมาถึง


ก่อนหน้านั้นก็โทรไปบอกแม่ โทรไปบอกเพื่อน พูดถึงหนังสือเล่มนี้แบบดูตื่นเต้นมากทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่าน (ขี้เว่อกว่านี้มีอีกมั้ย)


ระหว่างนั้นก็อ่านเล่มอื่นรอไปก่อน พอหนังสือมาถึงก็รีบแซงคิว เอาเล่มนี้มาอ่านก่อน แอบรู้สึกว่าใจเต้นตึกตักนิดหนึ่งด้วยตอนแกะกล่อง (เดี๋ยวนี้ชีวิตเราไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเท่าไหร่)


พอเริ่มอ่านก็ “ว้าววว…” แล้วก็ก็ว้าวหนักขึ้นเรื่อยๆ จนจบเล่มก็ยังว้าว


ปกติเวลาเราเขียนความรู้สึกถึงหนังสือที่อ่านจบ เรามักจะพิมพ์ในมือถือ เพราะถ่ายรูปปกหนังสือไว้ บางทีพิมพ์ๆไปก็จะอาจจะต้องเสิร์ชอะไรเพิ่มก็สลับหน้าต่างไปมาแล้วที่พิมพ์ไว้ก็หายไป ไม่เป็นไร มันอยู่ในหัว พิมพ์ใหม่ได้ จะได้ทบทวนอีกที


แต่กับเล่มนี้ไม่ใช่ เราถึงกับเปิดคอมมา นั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนตอนทำงาน แล้วเริ่มพิมพ์


เราไม่เคยพยายามเป็นเด็กดี ไม่ใกล้เคียงเลย ไม่เคยเชื่อง ดื้อตลอดไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที๋โรงเรียน และใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่สูญเสียตัวเองไป


ก็คิดว่าโตมาได้อย่างที่อยากจะเป็นนะ ทุกวันนี้ก็ทำอะไรได้ใกล้เคียงกับที่ตัวเองอยากจะทำ ที่ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆเพราะไม่ชอบ และก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดทุนอะไรด้วย (ก็ไม่ได้อยากทำนี่)


การสูญเสียตัวตนของเราค่อนข้างเกิดขึ้นช้า มันมาเกิดเอาตอนที่เราเริ่มทำงานแลกเงินนี่แหละ (ก่อนหน้านี้ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด ตราบใดที่มันไม่ได้เดือดร้อนใครมากนัก—จริงๆอาจจะมากก็ได้ 5555+)


แต่พอมาเป็นตอนโต ตอนเด็กๆที่เราไม่ยอมมาตลอด ก็เลยโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยยอมอยู่แล้ว แต่โตขึ้นก็สงบลงนะ ไม่ได้เป็นความสงบแบบที่ยอมศิโรราบ ยอมจำนนเพราะไม่มีทางเลือก แต่เป็นการยอมแบบที่เลือกที่จะยอมเพราะคำนึงถึงผลลัพธ์แล้วว่าทำแบบนี้จะดีกว่า


เอาจริงๆเราก็ใช้ชีวิตตามคติที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอกมาตลอด ถึงได้บอกไปตอนอ่านคาเฟ่สำหรับคนหลงทางว่ามันไม่เหมาะสำหรับคนไม่หลง


แต่โลกใบนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ดึงเราออกไปจากตัวตนที่เราเป็นได้เยอะมาก มันง่ายมากที่เราจะหลงทาง หรือสูญเสียตัวตน ซึ่งมันไม่แปลก และเราไม่ได้โง่


เราชอบที่เขาคุยกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ฟังเสียงหัวใจตัวเองเยอะๆ และมองโลกอย่างเข้าใจ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้อะไรที่เราขาด แต่มันเติมเต็มเราให้สมบูรณ์มากขึ้น


ตอนที่เราเด็กกว่านี้ ก็มีบางเรื่องที่เป็นกรงขังของเราเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วล่ะ


ถ้าคนที่ชอบและคบอยู่ด้วยเป็นผู้หญิง ก็สามารถบอกแม่ได้แบบชิวๆเลย แม่น่าจะหัวเราะก่อน 55555555


เราเข้าใจนะว่ามันยังมีกรอบของสังคม หรือความคิดหรืออะไรต่างๆที่อาจจะถูกมองแปลกๆ เมื่อก่อนลึกๆก็อาจจะแคร์อยู่บ้างมั้ง


เอาเรื่องนี้ไปคุยกับน้องที่รู้จักกัน (ไอ้คนที่ได้ MBTI อันเดียวกับเราและอ่านหนังสือคล้ายกันประมาณ 50-60% นั่นแหละ) นี่ก็เล่าว่าถ้ามีแฟนเป็นเพศเดียวกันก็จะบอกแม่นะ แล้วก็คงบอกคนนั้นด้วยว่า “อ่อ แม่เราไม่ติดนะ (อวดๆ) ถ้าพ่อแม่เธอไม่ยอมรับเรื่องนี้ เธอก็ไปคุยกับเค้าเองสิ ก็เธอเป็นลูกเค้านี่นา” (หมายความว่าประเด็นนี้ลูกก็ต้องคุยกับพ่อแม่ตัวเอง รับได้ไม่ได้ยังไงมันก็เป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวอ่ะ)


น้องบอก “ไม่ รอพ่อแม่ตายก่อนค่อยว่ากันอีกที”

นี่ก็ “เห้ยยยย ไรว้าาาาาาา ทำไมไม่สู้เลยอ่า สู้สิวะ แฮชแท็ก lovewins”

น้อง “ไม่ แฮชแท็ก moneywins”

 
Special Thanks to JT:
เรื่องนี้มีใครบางคนรู้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลยด้วยซ้ำ (เก่งจัง เท่ๆ) ขอโคว้ทประโยคเท่ๆของคนนั้นหน่อย รู้สึกว่าเท่มาก “ความสุขของเรา คือความสุขของเค้า(พ่อแม่)อยู่แล้ว”


ว้าววววว… เติบโตมาอย่างดี เป็นคนที่ Secure มากๆจริงๆนะ เธอแม่งโคตรบลอสซัมสำหรับเราเลย (อันนี้เอามาจาก แนวคิด Attachment Styles: Secure-Avoidant-Anxiety ในเพจ Kru Phu เค้าจบด้วยประโยคว่า ขอให้ทุกคนเจอบลอสซัมใของตัวเอง ***ถ้าเราจำไม่ผิดนะ ขอโทษจริงๆค่ะ เราเคยอ่านมานานมากแล้ว แต่ถ้าที่เพิ่งอ่านก็จะมี 500 ล้านปีของความรักเล่มสอง ก็พูดถึงแนวคิดเดียวกัน แต่แบ่งเป็น 4 กลุ่ม)


แต่ตอนนี้เราเลิกรอบลอสซัมแล้ว เราจะเป็นบลอสซัมให้ตัวเอง


หนังสือเล่มนี้ก็เขย่าความคิดเราแรงอยู่นะ คือมันไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอะไรเพราะเราก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด แต่มันช่วยปลอบใจและปลุกพลัง ทำให้เรามีความกล้ามากขึ้น ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ


เราอาจจะผิดก็ได้ แต่ทุกครั้งที่เราผิด ครั้งหน้าเราจะทำถูกมากขึ้น ดังนั้นไม่มีอะไรต้องกลัว เราไม่กลัว


จริงๆก็มีบางช่วงของชีวิตที่เรารู้สึกกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น หลังจากอ่านเล่มนี้จบก็ยิ่งฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม ขึ้นแท่นเล่มโปรดไปเลย ปกติแล้วเป็นคนรักหนังสือเป็นอย่างยิ่ง เวลาอ่านก็จะค่อยๆเปิด หนังสือก็ค่อนข้างจะใหม่อยู่เสมอ แต่คิดว่าเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือที่มีสภาพเยินๆได้ในอนาคต เราอาจจะต้องหยิบกลับมาเปิดดูอีกหลายครั้ง ก็ขอให้อยู่กับเราในช่วงเวลานั้น ตอนที่เราอาจจะต้องการคำปลอบใจ หรือแสงสว่างเล็กๆที่ปลายอุโมงค์


มีตอนที่อ่านแล้วร้องไห้ด้วยแหละ ไม่ได้เสียใจนะ ซาบซึ้ง เป็นเรื่องของลูกสาวเค้าที่ชื่อทิช กับฟุตบอลน่ะ


จริงๆนี่ก็โตมากับฟุตบอลนะ เล่นกับน้อง แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เล่นแล้วล่ะ เหมือนถ้าจะเล่นก็ต้องไปเล่นกับผู้ชาย เคยไปเตะบอลกับพนักงานขับรถที่ทำงานเก่าด้วยแต่แม่ไม่ชอบให้ทำแบบนั้นเท่าไหร่ จริงๆของที่ทำงานปัจจุบันก็เคยเล่นตอนกิจกรรมแผนก ได้รางวัล MVP เป็นกระเป๋าด้วยนะ มันจะมีงานกีฬาในนิคม ที่เป็นฟุตบอลหญิง นี่ก็ไปหาดูว่ามีบริษัทไหนส่งทีมแข่งบ้าง แล้วก็คิดว่า ถ้าต้องเปลี่ยนงานครั้งหน้า จะพิจารณาบริษัทเหล่านี้ดู 555+ ถึงกับเคยคิดแบบนี้ด้วย แล้วการหาข้อมูลเรื่องนี้เราเฝ้าติดตามมาเป็นเวลาหลายปีเลยนะ ไม่ใช่การค้นดูแค่ทีเดียวแล้วจบไป


ภรรยาของคนแต่งเป็นนักฟุตบอลที่น่าจะดังมากๆของอเมริกา สามีเก่าเค้าก็ชอบเล่นฟุตบอล ลูกสาวเค้าก็อยู่ทีมฟุตบอล รู้สึกว่าดีจัง เรื่องของทิชกับฟุตบอลเป็นบทที่อ่านแล้วสะเทือนความคิดเรามาก ทิชโคตรเจ๋งเลย


ฝากไว้อีกโคว้ท ที่ชอบมากจนต้องจด

หน้าที่ 178

“ฟังนะ เมื่อไหร่ก็ตามที่หนูต้องเลือกระหว่างทำให้คนอื่นผิดหวัง กับทำให้ตัวเองผิดหวัง หน้าที่ของหนูที่ต้องทำคือทำให้คนอื่นไม่ว่าจะกี่คนก็ตามผิดหวัง เพื่อที่ตัวลูกเองจะไม่ผิดหวัง”

Leave a comment