สายตาที่เปลี่ยนไป…

เพิ่งกลับมาจากแข่ง QCC ที่มาเลเซียค่ะ

เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แต่ถ้าจะเล่าทั้งหมดก็กลัวว่าจะยาวเกินไป เลยขอเล่าเรื่องที่ประทับใจที่สุดก่อนก็แล้วกันค่ะ

ในชีวิตการทำงานของเรา ประมาณปีที่ 3 ของการทำงาน มีผู้ใหญ่เลือกมาว่าอยากให้เราไปแปลแข่ง QCC ของบริษัทที่จัดแข่งที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ไป เพราะเขาบอกว่าต้องให้ล่ามไปตามคิว เลยเป็นพี่อีกคนไป

ตอนนั้นก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะตัวเองก็เพิ่งเข้าบริษัทนั้นได้ไม่นาน ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ไม่ได้ไปก็ดีแล้ว กลัวแปลแล้วไปทำเค้าแพ้

หลังจากทำงานที่บริษัทที่ว่ามาประมาณปีกว่าๆ ก็ถูกเสนอชื่อให้ไปแปลแข่ง Skill Contest แต่ตอนนั้นเราไม่กล้าไป เพราะมันมีแข่งไฟฟ้า เราไม่ถนัดเอาซะเลย กลัวไปแปลแล้วทำเค้าแข่งแพ้อีกแล้ว ถึงขั้นร้องไห้ขอร้องพี่เลขาประธานว่าไม่อยากไป อย่าให้เราไปเลย

นึกย้อนกลับไปแล้วขำ โคตรไม่มืออาชีพ ร้องไห้เพื่อขอปฏิเสธโอกาสที่ได้รับมาเนี่ยนะ โคตรจะเด็ก ทำงานแล้วแต่รับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายไม่ได้ ไปขอร้องคนอื่นว่าขอไม่ทำ ทำไมมุมมองตอนนั้นเราแคบได้ขนาดนั้นนะ

ทีนี้ก็หมดสัญญา ย้ายบริษัท มาทำที่ปัจจุบันนี่แหละ แล้วทีนี้มีแข่ง QCC ของบริษัทในเครือ จริงๆพี่ที่รับผิดชอบเค้ามอบหมายให้ล่ามอีกคนทำ ก็เพื่อนเรานี่แหละ สมมุติว่าชื่อ J

J เด็กกว่าเรา 1 ปี แต่ทำงานที่นี่มาก่อนเรา ก็ไม่ได้เรียกเราว่าพี่ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าอายุเท่ากัน

J เป็นล่ามประจำแผนก Production Maintenance และ Safety ซึ่งในสายตาเรา มันเป็นล่ามที่ยุ่งมากๆ ดูแต่ละแผนกที่แปลสิ ไม่นับงานแปล Plant Tour ที่มีบ่อยมาก

ก็เลยอาสาช่วยแปล QCC มี presenter 2 คน ถ้าใช้ล่าม 2 คนแปล จะได้มีจังหวะพักหายใจ ได้มีคนช่วยทำสคริปด้วย เพราะเวลานำเสนอผลงานมันเร็วมาก ถ้าคนพูด 2 คนแล้วล่ามคนเดียว มันเหนื่อยจริงๆนะ

ตอนนั้นคิดแค่นี้จริงๆ คิดแค่อยากจะช่วยเพื่อน แล้วหัวหน้าเราก็ใจดีด้วย ไม่ว่าอะไรที่เราขอไปทำงานนี้

แข่งรอบที่ไทย กลุ่มเราได้ที่ 2 ได้สิทธิ์ไปแข่งต่อที่มาเลเซีย

ทีนี้ก็เริ่มเครียดแล้ว เพราะมีเรื่องของงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้อง

คือ organizer ก็อยากให้ทั้งเราและ J ได้ไปมาเลเซียทั้งคู่ เพราะก็แปลด้วยกันมา แต่ทีมอื่นใช้ล่ามคนเดียว ถ้าทีมเราใช้ล่าม 2 คน มันก็คงจะดูแปลกๆ เค้าก็เลยจะให้เราแปลภาษาอังกฤษ ซึ่งบอกตรงๆนี่ไม่มั่นใจภาษาอังกฤษของตัวเองเลย เราใช้ภาษาอังกฤษได้แบบคนที่ติดกับการศึกษาแบบไทยๆมาก ฟัง อ่าน เขียน พอได้ แต่พูดนี่ไม่ได้เลย

สุดท้ายเราดูกรรมการ พบว่ามีกรรมการที่เป็นคนอินเดีย ใช้ภาษาอังกฤษแค่คนเดียว เลยขอแปลญี่ปุ่นดีกว่า มีพี่ AM อีกคนที่ไปกับทีมอยู่แล้ว เขาก็แปลภาษาอังกฤษให้

ก็ทำสคริป ซ้อม แล้วก็ไปแข่ง เราได้โจทย์ยากมาคือคนญี่ปุ่นที่ดูแลเรื่องนี้เค้าฟังล่ามของอีกโรงงานหนึ่งแปลรอบแข่งที่ไทยมา แล้วเค้าชื่นชมมาก เพราะน้องล่ามคนนั้นทำได้ดีมาก แปลเหมือนพากษ์การ์ตูน มีเสียงขึ้นลงที่น่าสนใจ ล่ามคนเดียวแต่เปลี่ยนเสียงเหมือนมีคน 5 คน คือมันเป็นความสามารถพิเศษของตัวล่ามคนนี้อ่ะ ไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือพรแสวง หรือทั้งสองอย่าง แต่เราก็รู้จักล่ามคนนี้อยู่ เราปลื้มเค้ามาก และรู้ดีว่าตัวเองทำแบบน้องล่ามคนนี้ทำไม่ได้หรอก ชั่วโมงฝึกมันต่างกัน แต่เมื่อมันคือคำสั่ง ก็ต้องทำ

คืนก่อนแข่ง เรากับเพื่อนซ้อมจนดึก ซ้อมจนฝัน ซ้อมจนหลอนเข้าไปในหูกันและกัน

พอวันแข่งจริงก็ทำได้ดีตามที่ซ้อมมาแหละ ก็พอใจในงานล่ามของตัวเอง ผลการแข่งขันคือกลุ่มเราได้ที่ 3

แน่นอนว่าคะแนนมันมาจากหลายๆอย่าง ไม่ใช่มาจากล่ามแค่อย่างเดียว ถึงแม้จะไม่ได้ไปแข่งรอบต่อไปที่ญี่ปุ่น แต่ปีนี้ได้เข้าร่วมและติดอันดับรอบเอเชียก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากแล้ว และในฐานะล่าม เรากับ J ทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจทีหลังเลย

ที่ 1 คือเวียดนาม คือทำดีจริงๆ ปีนี้เวียดนามมาแรงมากจริงๆ การได้ไปแข่งนอกประเทศมันเปิดโลกทัศน์เราจริงๆนะ ชาติอื่นๆไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม เก่งภาษาอังกฤษกันมากจริงๆ การทำ QCC เค้าก็เอาจริงเอาจัง กระตือรือร้นมาก

พูดถึงภาษาอังกฤษเรามี TOEIC 900 up แล้วยังไง? พูดไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ

Local Guide ของมาเลเซีย พูดอังกฤษ มาเลย์ อินโดนีเซียได้แบบคล่องๆเลย

หันมองดูตัวเอง ภาษาญีปุ่่นก็ไม่ได้เรียกว่าดี ถึงแม้จะมีอาชีพเป็นล่ามก็ตาม ภาษาอังกฤษก็พูดไม่คล่อง เก่งแค่ภาษาไทยนี่แหละ ที่กล้าพูดได้เต็มปากว่าตัวเองเก่งภาษาไทย (ถึงจะชอบพิมพ์ผิดบ่อยๆก็ตาม)

การแข่งรอบเอเชียครั้งนี้มีทีมที่ลงแข่งทั้งหมด 13 ทีม เป็นทีมจากไทย 3 ทีม ก็คือทีมเรา ทีมน้องล่ามนักพากษ์การ์ตูน และก็อีกทีมหนึ่ง (อยากบอกชื่อบริษัทนะ จะได้เข้าใจง่าย แต่ไม่เอาดีกว่า)

ตอนแข่ง ทีมจากไทยอีกทีมต้องรับคอมเม้นท์จากกรรมการที่เป็นคนอินเดีย ซึ่งภาษาอังกฤษของคนอินเดียก็ค่อนข้างฟังยากสำหรับคนไทย มีปัญหานิดหน่อยตรงที่นั่งของล่ามในวันแข่งมันไม่ได้ยินไมค์กรรมการด้วย เลยยิ่งเป็นโจทย์ยากเข้าไปใหญ่

คือทีมนั้นเด๊ดแอร์ไปเลยช่วงนั้น แต่มีฮีโร่สาวสวยก็คือล่ามญี่ปุ่นที่แปลภาษาอังกฤษของทีมน้องล่ามนักพากษ์ เข้ามาช่วยแปลให้ แก้ไขสถานการณ์เด๊ดแอร์ไปได้อย่างสวยงาม แล้วคือภาษาอังกฤษของล่ามคนนี้ดีมาก สำเนียงดี พูดจามั่นใจ เข้าใจง่าย เฟียซอ่ะ สวยเลย แบบฉลาด มั่นใจ เท่มากๆเลย กรรมการคนอินเดียบอกว่า ผมเข้าใจที่คุณพูด คืออย่างเท่

เพื่อนเราคือ เจ้า J ก็ปลื้มมาก หันมาพูดกับเราว่า “แก..เค้าเท่อ่ะ ชอบๆ เก่งมาก ชอบๆๆ” พูดไปตาก็เป็นประกายไป นี่ก็แบบ “เอ้อ ชอบเขามากก็เดินไปจีบเลยป่ะ” (หยอกเพื่อนเล่น เพื่อนมีแฟนแล้ว แต่เห็นมันปลื้มออกนอกหน้ามาก)

ช่วงเบรคเราก็หันไปชูนิ้วโป้งให้ล่ามสาวคนเฟียซคนนั้น คือเค้าเท่จริงๆ ตอนดินเนอร์ปาร์ตี้ก็ไปชมเค้าตรงๆเลย บอกว่ามีคนปลื้มมากนะ จิ้มๆไปที่ไอ้เจ้า J

แล้ววันถัดมามี Plant tour ของโรงงานที่มาเลเซีย

กลุ่มเรากับทีมน้องล่ามนักพากษ์ ล่ามคนเฟียซได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ซึ่งในกลุ่มก็จะมีพนักงานในไลน์ที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษด้วย ล่ามคนเฟียซก็อาสาแปลให้ทุกคน

โรงงานที่จะไป Plan Tour จะมีฝั่ง Thermal ก็จะผลิตงานที่เหมือนกับโรงงานของน้องล่ามนักพากษ์ กับล่ามคนเฟียซ แล้วก็จะมีโรงงาน Electronics ก็จะคล้ายๆงานบางอย่างที่โรงงานของเรากับ J ผลิต

ล่ามคนเฟียซก็แปลฝั่ง Thermal ไป แปลจาก EN>TH พอถึงฝั่ง Electronics ก็น่าจะเหนื่อยแหละ เลยบอกให้โรงงานเราช่วยแปลหน่อย

ไอ้เจ้า J เพื่อนข้าก็ไปรับไมค์มา เราเห็นแล้วแหละ เพื่อนรับไมค์มาแบบนี้ มันเอามายื่นต่อให้เราแน่นอน

ดีมากเพื่อน…. สร้างงานให้ข้าแล้วมั้ยล่ะ เอ้า ทำก็ทำ

ก็แปลๆไป โชคดีที่มันค่อนข้างคล้ายๆอะไรที่เราเคยเจอมาก่อน ไม่ได้ยากเกินไป ก็เลยแปลได้ค่อนข้างราบรื่นดี คืออย่าง KARAKURI นี๋โรงงานเราก็มี พวก Gravity Momentum ก็เป็นอะไรที่เราเข้าใจ ก็เลยแปลเป็นไทยได้ค่อนข้างลื่น ศัพท์เฉพาะของกิจกรรมในโรงงานเราก็พอรู้บ้าง อาศัยถามล่ามคนอื่นมา ก็เลยรอด (มั้ง)

พอเดินออกจากโรงงาน Electronics เสร็จก็โยนไมค์คืนล่ามคนเฟียซไป (นี่แน่ะ โยนงานเก่งจัง 555+)

เดินไปหาเพื่อน บอกว่า “ตูว่าแล้วว่าเอ็งต้องรับไมค์มาโยนให้ข้า ปรึกษากันบ้างโว้ยยยย”

เพื่อนล่ามเราก็ทำตาเป็นประกาย มองหน้า แล้วพูดว่า “เฮ้ย แกเท่อ่ะ แปลดีเลย จะทำก็ทำได้นี่นา ทำได้ดีด้วย” แล้วนางก็ลูบหัวเราเฉยเลย

นี่ก็งง อิหยังวะ?? เพราะเพื่อนเราคนนี้มันไม่เคยชมเรามาก่อนเลย มันชอบด่าเรา คือไม่โทษมันหรอกนะ โทษตัวเองมากกว่า ชอบทำตัวกากๆ ชอบไปแกล้งมัน ไม่แปลกอะไรที่มันจะด่า

อย่างพักห้องเดียวกันในโรงแรม มันออกมาจากห้องน้ำ คุยโทรศัพท์อยู่ นี่ก็แอบตรงมุม แล้วก็จ๊ะเอ๋ให้เพื่อนตกใจ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ก็ทำตัวแบบนี้ไง คนเด็กกว่า 1 ปีเค้าถึงไม่เคารพอ่ะ

แต่ก็เป็นเรื่องขำ คือเราชอบบ่นเอาฮาว่าไอ้เพื่อนเราเนี่ย จริงๆเด็กกว่าเราแต่ไม่เคยเรียกเราพี่เลย มันก็จะบอกว่า “ก็แกไม่น่าเคารพ” แต่ก็จริง ถ้ามันเรียกเ้ราพี่ก็จั๊กกะเดียมยังไงพิกล

ประทับใจสุดในทริปมาเลเซียก็คือการที่เพื่อนล่ามคนนี้ชมเรานี่แหละ เพราะมันแรร์มาก ทำงานด้วยกันมาเกือบ 3 ปี มันไม่เคยชมเราเลยจริงๆ รู้สึกได้ถึงสายตาตอนนั้นที่เปลี่ยนไปเลย

คือเหมือนคนนิสัยไม่เหมือนกันอ่ะ มันมีความไม่เข้ากัน มีความแตกต่าง คิดไม่เหมือนกันอยู่ค่อนข้างเยอะ ก็จะมีความขัดแย้งบ้าง เพราะคิดไม่เหมือนกัน บางทีมันด่าเรา เราอารมณ์ไม่ดีนี่ก็มีสวนคืนเหมือนกัน

แต่พอได้มาอยู่ร่วมกันเกือบ 24 ชั่วโมงก็รู้สึกว่าสนิทกันขึ้นอีกขั้นนะ เราได้รู้ว่าเพื่อนเราคนนี้ชอบอะไรที่เป็นรสมิ้นท์เหมือนเราเลย พบจุดร่วม 1 อย่าง ในความแตกต่างทุกอย่างที่มี

นางทำผมให้เราทุกเช้า คือปกตินี่ไม่ดูแลตัวเอง ทำผมไม่เป็น ผมยุ่งไง เพิ่งเป็นผู้เป็นคนตอนนางทำผมให้นี่แหละ 555+ ขอบคุงงับ เจ้าหมาน้อยของพรี่ อิอิ

กลับมาจากแข่ง QCC ก็จะอินกับเพลง หมื่นเส้นทางของ BNK48 มากหน่อย ชีวิตจริงมันก็คือการแข่งขันนั่นแหละ และเราก็เป็นแค่อันเดอร์เกิร์ลคนหนึ่งที่ไม่เคยโดดเด่นอะไรเลย แค่พยายามหาพื้นที่ของตัวเอง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

มองหาด้านหลังเพื่อนเราเริ่มไกลไป
เอื้อมมือยังไงเอื้อมไม่ถึงก็หวั่น
ก็เคยมองตาอย่างรู้กัน
จับมือกันแน่นมานาน
แล้ววันนี้เธอกำลังห่างไป
ถึงเวลาที่จะรักตัวเอง
เปลี่ยนแปลงตัวเองจะไม่แพ้ใครๆ
คำถามมีบ้างที่ค้างใจ
คู่แข่งที่แท้เป็นใคร
เราก็รู้กันใช่ไหม
หัวใจเต้นคล้ายใกล้หมดแรง
กลัวคนแซงยังฝืนเดินไป
มองข้างหลังยังมีคนอื่นวิ่งตาม
คนข้างหน้า (คนข้างหน้า)
คนข้างหลัง (คนข้างหลัง)
เราจะทำยังไง
เส้นทางเป็นร้อยเป็นหมื่นให้เลือกเดิน
ไปสู่บนยอดสูงสุดเขาสูงใหญ่จะทางใด
เลือกผิดก็ช้าไปหรือใครเร็วมากกว่า
ทางชันทางสูงจะฝ่าเพราะเลือกแล้วจะไป
เส้นทางเป็นร้อยเป็นหมื่นให้เราไป
เราอยู่ตรงไหนและอยู่ที่เท่าไร
ห่างไกลไหม
อย่ามัวแต่คิดไกลทุ่มลงไปให้สุด
สุดที่ใจที่ปลายทางของเรา
หมื่นเส้นทาง Yume he no route – BNK48
แปะ MV ญี่ปุ่นแล้วกัน ของไทยก็อยากให้ทำนะ